จา พนม อุบตอบเคลียร์ เสี่ยเจียง ชิ่งเล่นหนังต่างประเทศ อ้างเป็นเรื่องอดีต ขอเดินหน้าโกอินเตอร์ พร้อมยันไม่เคยลืมพ่อแม่ แย้มมีหนัง 3 เรื่อง
หายหน้าหายตาไปรับงานหนังที่ต่างประเทศ เรียกว่าโกอินเตอร์บนเส้นทางอาชีพนักแสดง สำหรับนักแสดงบู๊ จา พนม ล่าสุด (26 มีนาคม 2558) ได้มีโอกาสเจอเจ้าตัว ในงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ คู่ซัดอันตราย งานนี้หนุ่มจาก็มาอัพเดทเรื่องผลงานและชีวิตหลังโกอินเตอร์ให้ฟังว่า...
"2 ปีก็คิดถึงสื่อมวลชนทุกท่าน นึกถึงบรรยากาศ ก็เป็นความทรงจำที่ดี ๆ ความรู้สึกนั้นก็กลับคืนมา เห็นทุกคนมีรอยยิ้มและก็มาร่วมแสดงความภาคภูมิใจด้วยกัน ต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่มาร่วมแถลงข่าวในวันนี้ ท่านทุกคนคือผู้ที่จะทำให้หนังประสบความสำเร็จ เพราะการที่จะประสบความสำเร็จได้ ก้าวต่อไปถึงระดับฮอลลีวูดก็คือสื่อมวลชนที่เป็นพลังผลักดัน ผมก็ไปต่างประเทศ คือเตรียมงานทำหนัง ซ้อมคิวบู๊และก็เรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งที่ผ่านมาผมก็ไปแอตแลนตา และก็ไปลอสแอนเจลิส กับค่ายใหม่เรื่องสัญญาไม่ได้เซ็นครับ แต่ผมมีที่ปรึกษาที่เป็นผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุน คือ คุณไมเคิล เซิลวี่ ที่คอยให้คำปรึกษาและยังให้โอกาสเราไปทำงานที่ฮอลลีวูด ก็ไปได้ดีมากครับ
ส่วนชีวิตตอนนี้มีความสุขดีและเราได้มองได้เปิดโอกาสให้กับตัวเอง ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เราไปเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในระบบของการทำภาพยนตร์และก็ได้ไปสร้างเพื่อนสร้างมิตรภาพกับนักแสดงและทีมงานในระดับนานาชาติ มีความรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะมันทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์อะไรหลายอย่าง โอเคว่าเราอยู่ที่เมืองไทยเราประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแต่พอเราก้าวออกไปเราก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากนี้เรายังนำความเป็นไทยไปเผยแพร่ด้วยไม่ว่าจะเป็นมวยไทยหรืออาหารไทยหรือแม้กระทั่งวิถีชีวิต เขาก็ค่อนข้างชื่นชอบ ผมยังได้นำพระไปมอบให้กับวิน ดีเซล อีกด้วย
ผลงานตอนนี้จะมี 3 เรื่องที่ออกมาให้แฟน ๆ ได้ชมกัน
1. Fast & Furious 7
2. Skin Trade
3. SPL 2
นอกจากนี้เรายังดูเรื่องบทอีกหลาย ๆ เรื่อง เอาเป็นว่าชีวิตดีขึ้นครับและก็มีความสุขครับ
สำหรับเรื่องข่าวก่อนหน้านี้ที่มีปัญหากับเสี่ยเจียง หลังจากที่ไปรับงานหนังที่ต่างประเทศ จา พนม เผยว่า...
"อดีตก็คืออดีตครับ คือความสำเร็จในเมืองไทยมันก็เป็นก้าวหนึ่ง และผมไม่เคยลืม สหมงคลฟิมล์ก็ยังอยู่ในใจของผม ท่านก็มีพระคุณ ผมนึกอยู่เสมอว่าจะทำอะไรให้ประเทศไทย ซึ่งผมก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้า เพราะในเมื่อโอกาสมันมาตรงนี้แล้วผมก็ต้องพัฒนาต่อไป ถ้าเราหยุดอยู่กับที่มันก็จะไม่เกิดวันนี้ เพราะสิ่งที่ผมทำในวันนั้นก็คือวันนี้ ผมมองว่ามันเป็นการต่อยอดมากกว่า ถ้าผมพูดในทางไม่สร้างสรรค์ในก็จะไม่เป็นผลดี ผมคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้หนังไทยโกอินเตอร์ อดีตก็คืออดีต เราก็ต้องเดินหน้าต่อไป
ส่วนเรื่องครอบครัวทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในใจผมตลอดครับ พ่อแม่อยู่ในใจผมตลอดและผมไม่เคยลืม ที่ผมทำก็เพื่อทุกคน หน้าที่ที่ผมทำมันยิ่งใหญ่มากกับการได้ไปอยู่ตรงนั้นและผมมองย้อนกลับมาที่เมืองไทยมันเล็กนิดเดียว เพราะฉะนั้นผมก็มีความภาคภูมิใจ ผมยังบอกกับเพื่อนผมเลยว่าผมถือธงและเอารูปในหลวง และหลวงพ่อที่ผมเคารพ พระคุณท่านเจ้าอุดมวัฒนมงคลมาตั้ง และบอกกับตัวเองว่าผมเลือกที่จะสร้างสรรค์และนำเอาความสามารถที่มีอยู่ออกมาให้ชาวโลกได้รู้จักนั้นคือเป้าหมาย และผมก็คิดว่าผมคิดถูกครับ"
เกาะติด ข่าว Fast 7 ห้ามฉายไทยชั่วคราว แบบอัพเดททั้งหมด