x close

12 หนังสตีเวน สปีลเบิร์ก ผลงานขึ้นหิ้งของพ่อมดแห่งฮอลลีวูด

           แนะนำผลงานหนังที่สร้างชื่อให้ สตีเวน สปีลเบิร์ก กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่บรรดาคอหนังทั่วโลกจำได้ขึ้นใจ
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

         สำหรับคอหนังเราต่างเคยได้ยินชื่อผู้กำกับฝีมือดีในโลกภาพยนตร์มานับไม่ถ้วน แน่นอนว่าแต่ละคนมียุคสมัยหรือยุคทองของตัวเองที่แตกต่างกันไป และในเวลาที่ผันผ่านไปก็จะมีผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ฝีมือดีเข้ามาทดแทน ซึ่งหนึ่งในผู้กำกับยอดฝีมือที่เป็นตำนานของโลกใบนี้ที่แฟนหนังรู้จักกันดีก็คือ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่มีผลงานขึ้นหิ้งมาตั้งแต่ยุค 70s และยังคงมีงานกำกับออกมาเรื่อย ๆ การันตีด้วยรางวัลผู้กำกับดีกรี 3 ออสการ์ โดยงานของเขามีตั้งแต่หนังเอาใจตลาด หนังเอาใจผู้ชมรุ่นเล็ก หนังไซไฟ หนังย้อนยุคหวังรางวัล และหนังดูยาก ๆ เอาใจนักวิจารณ์ เรียกว่าทำได้ทุกแนว จนได้ฉายาว่า “พ่อมดฮอลลีวูด” เลยทีเดียว

         สตีเวน สปีลเบิร์ก นับเป็นผู้กำกับที่มีไฟและจินตนาการไม่จบสิ้น และเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ ออกมาให้ผู้ชมได้รับความบันเทิงได้อีกนาน ถึงตอนนี้กระปุกดอทคอมเลยจะขอหยิบผลงานของ สตีเวน สปีลเบิร์ก มาแนะนำกัน เผื่อบางเรื่องเรา ๆ ท่าน ๆ จะลืมกันไปแล้ว จะได้ไปหาย้อนดูกันอีกสักรอบค่ะ

ผลงานของ สตีเวน สปีลเบิร์ก

1. Jaws (1975)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Jaws

          ยกให้เป็นหนังแจ้งเกิดของ สตีเวน สปีลเบิร์ก เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้โลกรู้จักชื่อของเขาในแง่ของผู้กำกับที่มีความกล้าบ้าบิ่นที่จะสร้างหนังสยองขวัญว่าด้วยฉลามยักษ์กินคน ซึ่งต้องใช้ทั้งหุ่นฉลามและสเปเชียลเอฟเฟกต์ที่ไม่เจริญก้าวหน้าเลยในช่วงเวลานั้น ๆ โดยหนังเรื่องนี้สตีเวนยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ยากและลำบากที่สุดในชีวิตการกำกับหนังของเขาเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากทางด้านรายได้ และเป็นกระแสโด่งดังมาก เรียกว่าในช่วงที่หนัง Jaws เข้าฉาย แทบจะไม่มีใครกล้าลงเล่นน้ำในทะเลเลยทีเดียว ในด้านรางวัล หนังเรื่องนี้เข้าชิงออสการ์ถึง 4 สาขา รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย แต่ก็กวาดรางวัลเล็ก ๆ มาได้ถึง 3 รางวัล ซึ่งความสำเร็จของ Jaws ทำให้ทางค่ายสร้างภาคต่อมาถึงภาค 4 แต่สตีเวนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแต่อย่างใด
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Jaws

2. E.T. The Extra-Terrestrial (1982)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก E.T. The Extra-Terrestrial

           ถ้า Jaws เป็นหนังแจ้งเกิดของ สตีเวน สปีลเบิร์ก E.T. ก็คือหนังที่ส่งให้เขาขึ้นแท่นผู้กำกับแถวหน้าของฮอลลีวูดเช่นกัน กับเรื่องราวหนังคลาสสิกของอีที มนุษย์ต่างดาวที่น่ารักและความซื่อบริสุทธิ์ของเด็ก ๆ ที่พยายามปกป้องเพื่อนจากต่างดาวของพวกเขา ซึ่งสตีเวนก็สามารถทำให้ตัวอีทีถ่ายทอดความไร้เดียงสาและชนะใจคนทั่วโลกได้ จนกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ทั่วโลกจดจำได้ตลอดกาล ถึงขนาดที่เขานำตัวอีทีมาตั้งเป็นโลโก้ของบริษัท แอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งเป็นบริษัทของเขาเองเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้เข้าชิงออสการ์ถึง 9 รางวัล รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม แม้จะพลาดรางวัลใหญ่ไป แต่ก็คว้ากลับบ้านได้ถึง 4 รางวัล
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก E.T. The Extra-Terrestrial

3. Schindler's List (1993)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Schindler's List

          เรียกว่าเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในชีวิตของ สตีเวน สปีลเบิร์ก เลยก็ว่าได้กับ Schindler's List หนังขาว-ดำที่ให้ทั้งสาระและความบันเทิง แม้จะยาวถึง 3 ชั่วโมงกว่า แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมเพราะกล้าที่จะถ่ายทอดเรื่องราวในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามอย่างที่สุด พร้อมกับถ่ายทอดให้เห็นความสวยงามของมนุษย์ที่เลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเพื่อนมนุษย์แม้จะต่างเชื้อชาติกัน หนังเข้าชิงรางวัลออส์การ์ถึง 12 สาขา และกวาดไปได้ถึง 7 สาขา รวมถึงสาขาใหญ่ ๆ อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Schindler's List

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Schindler's List

4. Jurassic Park (1993)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Jurassic World

           จาก Schindler's List ที่เป็นแนวเคร่งเครียด พลิกมาเป็นหนังเอาใจตลาดอย่าง Jurassic Park สตีเวน สปีลเบิร์ก ก็สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ สร้างปรากฏการณ์การก้าวกระโดดของวิทยาการสเปเชียลเอฟเฟกต์ให้มีความน่าสนใจและตื่นตาตื่นใจมากขึ้น เพราะการสร้างไดโนเสาร์ที่เรามักจะคุ้นเคยจากในหนังสือภาพหรือการ์ตูนให้ออกมามีชีวิตจริง ๆ โลดแล่นบนจอ โดยเฉพาะฉากที่เจ้าตัวร้ายทีเร็กซ์วิ่งไล่กวดรถ จนกลายเป็นหนึ่งในฉากคลาสสิกที่ถูกจดจำอย่างมากในฮอลลีวูดเลยทีเดียว สมควรแล้วที่หนังเรื่องนี้คว้าออสการ์ไป 3 สาขา และหนึ่งในนั้นคือรางวัลสเปเชียลเอฟเฟกต์ยอดเยี่ยมด้วย อย่างไรก็ตาม หนังไดโนเสาร์แฟรนไชส์ Jurassic แม้จะมีภาคต่อ ๆ ตามมา แต่ สตีเวน สปีลเบิร์ก ก็ไม่ได้กลับมาทำหน้าที่ผู้กำกับแต่อย่างไร หากแต่รับหน้าที่เป็น Executive Producer เท่านั้น
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Jurassic World

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Jurassic World

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Jurassic World

5. Indiana Jones

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Indiana Jones

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Indiana Jones

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Indiana Jones

          อีกหนึ่งผลงานที่กลายเป็นตำนานของวงการหนังกับ อินเดียน่า โจนส์ หนังเอาใจตลาดที่เป็นความร่วมมือระหว่าง 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฮอลลีวูด จอร์จ ลูคัส ผู้เป็นเจ้าของแนวคิด และ สตีเวน สปีลเบิร์ก ในฐานะผู้กำกับ โดยสร้างสรรค์ตัวละครใหม่ขึ้นมา นั่นคือ อินเดียนา โจนส์ ศาสตราจารย์ทางด้านโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญในการไขปริศนาขุมทรัพย์โบราณ มีเอกลักษณ์คือหมวกปีกกว้างและแส้เป็นอาวุธคู่กาย จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่อยู่กับฮอลลีวูดมายาวนานกว่า 30 ปี มีหนังลากยาวถึง 4 ภาค นั่นคือ Raiders of the Lost Ark (1981), Indiana Jones and the Temple of Doom (1984) Indiana Jones and the Last Crusade (1989) Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull (2008) และกำลังจะมีภาค 5 ชื่อ Indiana Jones and the Dial of Destiny ในปี 2023 นอกจากนี้ยังขยายไปเป็นซีรีส์และวิดีโอเกมด้วย

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Indiana Jones

6. Saving Private Ryan (1998)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Saving Private Ryan

           หนังไซไฟที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนจะเป็นทางถนัดของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ไปแล้ว เพราะมีงานแนวนี้ออกมาให้แฟน ๆ ได้ติดตามอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งในเรื่อง Saving Private Ryan เขาได้หยิบยกเอายุทธการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดีมาถ่ายทอดได้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะฉากรบเปิดเรื่องที่กลายเป็นฉากรบสุดดุเดือด โหดและสมจริงที่สุด จนกลายเป็นบรรทัดฐานของผู้กำกับหน้าใหม่ว่าถ้าจะสร้างหนังสงครามต้องทำให้ได้เทียบเท่าหรือใกล้เคียงเลยทีเดียว โดยหนังเรื่องนี้ได้ประกาศศักดาบนเวทีออสการ์ด้วยการเข้าชิงถึง 11 รางวัล และคว้าไปได้ถึง 5 รางวัล รวมถึง สตีเวน สปีลเบิร์ก ก็คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมมาได้อีกครั้ง
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Saving Private Ryan

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Saving Private Ryan

7. A.I. Artificial Intelligence (2001)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก A.I. Artificial Intelligence

           ผลงานชิ้นโบแดงจาก สตีเวน สปีลเบิร์ก และหนูน้อย ฮาร์ลี่ย์ โจเอล ออสเมนต์ ดาราเด็กที่โด่งดังในขณะนั้น เรื่องราวของ เดวิด หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างมาเป็นตัวแทนให้กับครอบครัวคนรวยที่สูญเสียลูกชายไป แต่เขาไม่ใช่หุ่นยนต์ทั่วไป เพราะเขาถูกสร้างให้รู้จักความรัก มีความรู้สึก เสียใจได้ จดจำเป็น แต่เมื่อลูกชายตัวจริงของแม่ที่เขารักตื่นขึ้นมา เดวิดก็กลับคืนเป็นแค่เพียงของเล่นคนรวยเท่านั้น ตัวเนื้อเรื่องนอกจากจะดราม่าเรียกน้ำตาจากคนดูได้เป็นลิตร ๆ แล้ว สเปเชียลเอกเฟกต์ของหนังเรื่องนี้บอกเลยว่าเนียนกริบ เป็น CG ที่คุณภาพดี ไม่สะดุดอารมณ์ และทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครในเรื่องได้อย่างไม่แตกแถว หนังเรื่องนี้ทำรายได้ทั่วโลกถึง 236 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 8,260 ล้านบาท และทำให้ชื่อของสตีเวนคว้ารางวัลเขียนบทยอดเยี่ยมมาได้ด้วย
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก A.I. Artificial Intelligence

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก A.I. Artificial Intelligence

8. Minority Report (2002)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Minority Report

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Minority Report

           การร่วมงานครั้งแรกของพ่อมดแห่งฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก กับซูเปอร์สตาร์ ทอม ครูซ เป็นหนังไซไฟแอ็คชั่นที่อิงจากนิยายสุดล้ำของ Philip K.Dick เจ้าพ่อแห่งนิยายไซไฟ บอกเล่าเรื่องราวในปี 2054 ในอนาคตที่จะไม่มีการทำผิดกฎหมาย เพราะนำเทคโนโลยี Precrime ซึ่งเป็นการหยั่งรู้และวิเคราะห์เหตุการณ์อาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้ามาตามจับคนร้ายก่อนที่เหตุการณ์นั้น ๆ จะเกิดขึ้นเสียอีก เป็นผลงานที่ให้ความรู้สึกแบบนิยายวิทยาศาสตร์บนหลักการของจริยธรรมของมนุษย์ได้น่าสนใจ พร้อมกับฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นตาและเทคนิคทางภาพที่สะท้อนโลกอนาคตได้อย่างโดดเด่น
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Minority Report

9. Catch Me If You Can (2002)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Catch Me If You Can

           หนังดราม่า-คอมเมดี้-ชีวประวัติที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของ แฟรงค์ อบาเนล เด็กหนุ่มที่ปลอมตัวเป็นกัปตันเครื่องบิน หมอ ทนาย และลอยนวลด้วยการขโมยแบงก์ปลอมนับล้าน จนกลายเป็นอาชญากรที่ถูกตามล่าตัวไปในหลายประเทศ อีกหนึ่งผลงานยอดเยี่ยมของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักวิจารณ์และประสบความสำเร็จอย่างมากในแง่ของรายได้ เพราะจากทุนสร้างเพียง 52 ล้านเหรียญ แต่กลับทำรายได้ไปถึง 352 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 12,320 ล้านบาทเลยทีเดียว
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Catch Me If You Can

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Catch Me If You Can

10. The Terminal (2004)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก The Terminal

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก The Terminal

            หนังฟีลกู้ดแนวคอมเมดี้-ดราม่า สร้างจากเรื่องจริงของ เมฮ์ราน คาริมี แนสเซรี (Mehran Karimi Nasseri) ชาวอิหร่านที่ติดอยู่ในสนามบินถึง 18 ปีเต็ม เป็นผลงานการกำกับของ สตีเวน สปีลเบิร์ก พ่อมดแห่งฮอลลีวูด ที่โคจรกลับมาร่วมงานกับ ทอม แฮงค์ นักแสดงนำที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Saving Private Ryan (1988) และ Catch Me If You Can (2004) พร้อมขนทัพนักแสดงมากฝีมืออย่าง แคเธอรีน ซีตา-โจนส์, สแตนลีย์ ทุชชี, โซอี ซัลดานา และดิเอโก ลูนา มาถ่ายทอดเรื่องราวของชายหนุ่มชาวยุโรปตะวันออก ที่เดินทางมายังนิวยอร์ก ซิตี้ ในขณะเดียวกันบ้านเกิดของเขาเกิดเหตุร้ายขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้เขาที่กำลังจะออกเดินทางเพื่อทำตามความฝันในอเมริกาต้องหยุดลงก่อน และต้องติดอยู่ที่สนามบิน โดยเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในสนามบินไปจนกว่าเหตุร้ายที่บ้านเกิดจะสงบลง จะออกจากสนามบินไปอเมริกาก็ไม่ได้ จะบินกลับบ้านเกิดตัวเองก็ไม่ได้ แม้จะดูเป็นหนังดราม่า แต่ในเส้นเรื่องยังแฝงซีนตลกและโรแมนติกเล็ก ๆ รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงมิตรภาพของเพื่อน ๆ ที่ช่วยเหลือกันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนด้วย
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก The Terminal

11. Munich (2005)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Munich Movie

           อีกหนึ่งผลงานของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ที่สร้างจากเรื่องจริงสะท้านโลกกับเหตุการณ์ก่อการร้ายในโอลิมปิก 1972 ที่เยอรมันตะวันตก หนังแนวสายลับที่เจาะลึกลงไปถึงหน่วยสายลับของฝั่งอิสราเอล ที่ทำภารกิจสังหารเป้าหมายตามคำสั่งเท่านั้น โดยมีอุดมการณ์ที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้บริสุทธิ์และผู้ไม่เกี่ยวข้อง ในที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้เป็นการตีแผ่ให้เห็นถึงความดึงดันในการล้างแค้นด้วยความรุนแรง ซึ่งส่งผลเสียอย่างหนักต่อสันติภาพในตะวันออกกลางในปัจจุบันตามมา
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก Munich Movie

12. The Fabelmans (2022)

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก The Fabelmans

            หลังจากที่หยิบเอาชีวิตจริงของผู้อื่นมาสร้างเป็นหนังแล้วมากมาย ก็ถึงคราวหยิบเอาชีวประวัติของตัวเองมาทำเป็นหนังบ้าง กับ The Fabelmans หนังที่ถ่ายทอดความเป็นตัวตนของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ตั้งแต่วัยเด็กของตัวเอง ความรัก ความฝัน แพสชั่นที่มีต่อโลกภาพยนตร์ของเขา โดยจับเอาความรู้สึกต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้กับคนดูได้อย่างดี ทั้งความเศร้า ความสุข ความทุกข์ และความประทับใจ ซึ่งหนังเรื่องนี้การันตีด้วยการเข้าชิงออสการ์ถึง 7 สาขา ตั้งแต่นักแสดงนำหญิง นักแสดงสมทบชาย บทภาพยนตร์ ออกแบบงานสร้าง ดนตรีประกอบ ผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย
หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก The Fabelmans

หนังสตีเว่น สปีลเบิร์ก

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก The Fabelmans

           และนี่คือ 12 ผลงานของ สตีเวน สปีลเบิร์ก พ่อมดแห่งฮอลลีวูด หนึ่งในผู้กำกับยอดฝีมือที่เป็นตำนาน สร้างสรรค์ผลงานเป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงรสนิยมและความละเอียดที่ทุ่มเทลงไปในการทำงาน จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกผลงานที่เขาสร้างสรรค์ออกมานั้นเต็มไปด้วยคุณภาพและมีความเป็นศิลปะขั้นสุดทั้งหมด

บทความหนังเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
12 หนังสตีเวน สปีลเบิร์ก ผลงานขึ้นหิ้งของพ่อมดแห่งฮอลลีวูด อัปเดตล่าสุด 16 มิถุนายน 2566 เวลา 11:03:16 18,285 อ่าน
TOP