x close

สัมภาษณ์ ซันนี่ กับจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ ชัมบาลา !


shambhala


สัมภาษณ์ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ กับจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ ชัมบาลา!! (สหมงคลฟิล์ม)

  เกิดอะไรขึ้นกับ ซันนี่ ทำไมถึงปล่อยให้แฟน ๆ รอนานขนาดนี้ หรือที่บอกว่าซันนี่จะเลิกเล่นหนังเล่นละครแล้วจริงรึเปล่า ที่ผ่านมาหายไปไหนไปทำอะไรอยู่?

          คือจริง ๆ เวลาเรารับหนัง เราจะแบบอ่านบทมาหลายเรื่องแล้ว และถ้าเราเจอเรื่องที่อยากเล่นที่ชอบจริง ๆ เราก็จะอยากทำ มันจะมีไฟขึ้นมา เราอยากรู้สึกแบบนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้เล่นสายลับผมฯ ก็ไปเล่นซิทคอมอยู่ครับ ก็เป็นระยะเวลาช่วงนั้นครับ คือไม่ได้หายไปไหน คือผมออกมาก็เพื่อไปเล่นหนัง ถ้าถามว่าคิดถึงไหมกับหนัง คิดถึงนะ มันก็แบบสนุกที่ได้ทำ ได้เป็นตัวละคร แล้วพอมานั่งดูหนังเทียบกับละครแล้วพลังมันต่างกันครับ พอได้ขึ้นชื่อว่าหนังแล้ว มันมีพลังของทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องของการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็น เราจะส่งสายตาหรือว่าอะไร มันเป็นพลัง ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเวลาเจอบทดี ๆ โอ้โหตื่นเต้นมาก จะรู้สึก ยิ่งเรื่องนี้ครับ ยิ่งใหญ่ ยิ่งน่าเล่น

  โดยส่วนตัวแล้วชอบตัวละครหรือบทแบบไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า?

          จริง ๆ แล้ว เวลาดูหนังอะไร ผมจะชอบเวลาดูตัวละครที่มันมีปมอยู่ในใจ มีความหลังอะไรสักอย่างอยู่ในใจ ที่มันต้องค้นหา คือผมชอบเรื่องความสัมพันธ์ของคน มนุษย์เรา แค่เนี้ย แค่เรื่องการพูดคุยกัน มันก็มีความรู้สึกอะไรหลากหลายแล้ว และหนังเรื่องชัมบาลานี้มันไม่มีในบ้านเรา สไตล์แบบนี้ ก็เลยอ่านแล้วแบบ อยากทำอะไรที่มันไม่ค่อยมี นาน ๆ จะเล่นที อยากทำ

  เป็นไงมาไงถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจคท์ภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลากับ พี่ปี๊ด (ปัญจพงศ์ คงคาน้อย) ผู้กำกับ?

          เรารู้จักมานานมากแล้วสิบกว่าปี เจอแรก ๆ ก็นั่งคุยกัน เสร็จปุ๊บเขาก็มีความฝันอยากทำภาพยนตร์ เขาอยากเป็นผู้กำกับหนัง ผมก็รู้มาตั้งแต่ตอนนั้นนะครับ ก็คุยอะไร ๆ กับเขาสักพัก อยู่ดี ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า ถ้าเขาทำหนังนะ จะให้ผมเป็นพระเอก ผมก็ฮา สมัยนั้นอายุเท่าไรยี่สิบ ฮา ผมก็ขำ เขาไม่รู้ และผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการแสดงด้วยซ้ำ สมัยนั้น ก่อนที่จะเล่นหนังเรื่องแรกด้วย ถ้าเกิดมีโปรเจคท์หรือเรื่องคิดอะไรในหัว เขาจะพูดหรือส่งมาให้เราตลอดเวลา มันเป็นความฝันของเขา มีบางครั้งที่แบบเอาไปเสนอที่อื่นแล้วเขาไม่ได้เห็นแนวทางของเขาอะไรแบบนี้

          และพอเขามาที่นี่ (สหมงคลฟิล์ม) แล้ว เหมือนเขาเข้าใจคนทำหนัง แล้วก็เสนอแนวทางให้เขาผ่าน แล้วเขาก็ส่งบทร่างมาให้ผมดูเรื่อย ๆ แรก ๆ ก็จากไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยครับ จนรู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก่อนมาถึงชัมบาลา ตัวพี่ปี๊ด เขามีหลายเรื่องมากอยู่ดี ๆ ก็ล้มหายไปเลย อ้าวแล้วไอ้นั่นพี่เขียนไว้ไปไหนแล้วล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าขายกินไปแล้วหรือยังไง (หัวเราะ) ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ

  ทำไมตัดสินใจรับบทนี้?

          เวลาที่คนมาเสนออะไรให้เราครับ ผมรู้สึกภูมิใจตลอดเวลาว่าคนเชื่อว่าเราทำสิ่ง ๆ หนึ่งหรืออะไรได้ หรือเขาชอบการแสดงของเรา และในเรื่องบท ผมมีความคิดแบบนี้ บทหรือการแสดงของแต่ละอย่างมันไม่มี reference อะไรหรอกครับ ไม่มีว่าตัวละครตัวนี้ต้องเป็นอย่างนี้ เพราะว่ามันเป็นตัวละครที่แต่งขึ้นมาใหม่ เราก็ไม่สามารถที่จะต้องไปดูใครหรือทำตามแบบเขาได้เลย มันเป็นการที่เรารู้สึกว่าเราเห็นจากบทนี้ เราอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เราจะคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน เขาเป็นคนยังไง เราอยากให้เขาเป็นไง เราจะคิดดีไซน์ว่าให้เขาเป็นคนแบบไหนได้บ้าง เราสร้างขึ้นมาครับ และนี้คือที่สุดของพาร์ทการแสดงที่ผมชอบมากที่สุดครับ คือเวลาคิดอยากให้คน ๆ นี้เป็นไง อยากให้เขาทำอะไรได้บ้าง

shambhala

  ในความคิดของเราแล้ว ภาพรวมทั้งหมดของโปรเจคท์นี้ อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า ชัมบาลา โดดเด่น มีความแตกต่างหรือน่าสนใจกว่าโปรเจคท์อื่น ๆ ที่มีคนมาเสนอเรา?

          มันคือการไปถ่ายทำที่ทิเบตนะครับ เป็นเรื่องของคนที่ได้ไปอยู่ในสถานที่แปลก ๆ ในที่ต่าง ๆ แล้วเจอกับเหตุการณ์หรืออะไรบางอย่าง ผมรู้สึกว่าดี และยิ่งภาพหนังไทยที่ไปถ่ายทำในที่แปลก ๆ คนก็จะไม่ค่อยได้เห็น ผมรู้สึกว่าเออเป็นภาพที่สวยงามดี ที่สำคัญบทหนังเรื่องนี้กระตุ้นเราในเรื่องของนักแสดงด้วยครับ บทที่ดูมีอะไรและมีเจตนาที่ดี มีสิ่งอะไรที่ดี คือเขาจะเลือกเล่าเรื่องแบบว่าไม่ว่าจะเป็นอะไร ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ความรู้สึกจริง ๆ แล้วอยู่ที่ใจมากกว่า เป็นการเล่าเรื่องในความสัมพันธ์ของมนุษย์ทั่วไปครับ

          ผมเชื่อว่าความรู้สึกสำคัญกว่าเรื่องอื่น ๆ เยอะ สำคัญที่สุดคือเรื่องมันที่เราชอบ แล้วมาดูที่ตัวละครอีกที ซึ่งจริง ๆ เป็นการคุยกันเหมือนกันว่าผู้กำกับอยากได้อะไรก่อน และเราจะคิดอะไรได้บ้าง อยากให้มันเป็นแบบไหนได้บ้างและก็มาคุยกันมาแชร์กัน เพราะผมว่าหน้าที่ของนักแสดงมันไม่ใช่แค่เดินมาแล้วมาเข้ากล้องแล้วก็เล่น แอคชั่น และก็เล่นไป มันคืออย่างนี้ครับ มันคือความคิดทั้งหมด เพราะว่าที่ผมเล่นมาทั้งหมดมันจะเป็นผู้กำกับจะคอยตามเราในทุกเรื่องครับ คือเคยมีผู้กำกับคนหนึ่งเคยพูดกับผม คือผมไปเถียงอะไรเขาสักอย่างและเขาบอกว่า เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรและเขาก็เดินไป และผมก็เลยบอกว่าตกลงซีนนี้ยังไง เขาก็บอกว่า \'คุณเป็นนักแสดงคนนั้น ผมเป็นผู้กำกับผมต้องเชื่อคุณสิ\' เขาพูดแบบนี้

          ผมรู้สึกว่ามีพลังมากในแง่ของการแสดงครับ ทุกสิ่งทุกอย่าง จริง ๆ บทมันเขียนมาก็เป็นกระดาษนะครับ แต่ว่าสิ่งที่เราพัฒนามัน ตัวละครมันต้องพัฒนาจากตัวละครเองทุกเรื่องอยู่แล้ว และต้องมาคุยอีกทีหนึ่งว่าผู้กำกับอยากได้แบบไหน หรือว่าผู้กำกับเฮ้ยอย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่ใช่แนวทางของผม ก็เป็นการคุยกันครับ แต่ในเรื่องคาแรคเตอร์ การพัฒนาตัวละครคือหน้าที่ของนักแสดง เพราะฉะนั้นจริง ๆ เวลาที่มีคนมาถามผมเรื่องคาแรคเตอร์ผมจะไม่รู้เลยนะครับ เพราะผมจะคิดว่ามันคือบุคคลธรรมดาคนหนึ่งครับที่มีความคิดแบบนี้

          ทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนี้ลงไป เพราะอะไร มันต้องคิดจากเห็นผลก่อนครับ เราเห็นจากกระดาษ ทำไมคนนี้ถึงตัดสินใจทำแบบนี้ เราต้องคิดว่าเหตุผลที่เขาเป็นแบบนี้เป็นเพราะอะไร เราก็จะคิดย้อนกลับไป ผมก็เลยไม่มานั่งคิดว่า คาแรคเตอร์จะต้องแบบเซอร์ ดุดัน หรือว่ายังไง หรือว่าจิตใจอ่อนไหว หรือว่ายังไงจะไม่เคยคิดเลยพวกนี้ มันจะแบบกลับเข้ามาเพื่อให้เราสร้าง เพราะมันจะไม่มีอะไรกำหนด เพราะมันคือมนุษย์ธรรมดาที่เรามีหลายอย่างไม่ได้มีคาแรคเตอร์เดียว นั่นแหละครับ มันคือความเป็นมนุษย์ครับ มนุษย์ที่สุด

shambhala

  ถ้างั้นคงต้องเล่าให้ฟังแล้วล่ะว่า ในภาพยนตร์เรื่อง ชัมบาลา รับบทเป็นใครและมีคาแรคเตอร์เป็นอย่างไร?

          ครับ ในภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา รับบทเป็น วุฒิ ในแง่ของตัวละคร วุฒิ จะเป็นคนที่จริงจังเรื่องความรักครับ สิ่งที่ทำอะไรลงไปทุกอย่างคือจะอยู่ในกรอบ คือเขาจะเป็นคนที่ไม่ทำอะไรที่มันประมาทกับชีวิต ทำอะไรก็ต้องถูกต้อง ๆ ๆ แต่วุฒิไม่ใช่แบบตรงจนเกินไปนะครับ คือทำชีวิตตัวเองไม่ให้แบบเละเทะ ไม่โลดโผดมากกว่า และก็รักจริง

  เสน่ห์ของคาแรคเตอร์ตัวละครตัวนี้?

          เสน่ห์ของผู้ชายแบบวุฒิก็จะมีความมั่นคงในตัวเอง ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมออกจากกรอบ ชีวิตไม่โลดโผนไม่ทำอะไรที่เสี่ยง แต่ว่าเขาก็มีทางเลือกของเขา คือเขาก็มีทางที่ยึดมั่น ไม่ใช่ว่าไม่รู้จะไปทางไหนหรือว่าหลงทาง แต่มีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายในสิ่งที่ตัวเองจะทำ จะตัดสินใจแล้วเชื่ออย่างนั้น วุฒิก็จะมีความรักกับผู้หญิงชื่อ น้ำ ซึ่งเล่นโดย น้องฝน (นลินทิพย์) ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตวุฒิตั้งแต่เปิดเรื่องมาจะอยู่กับน้ำตลอด คือทั้งคู่จะเปิดร้านกาแฟด้วยกัน จริง ๆ ในช่วงแรกของชีวิตดูเหมือนว่าวุฒิเองก็หลงทางอะไรบางอย่างอยู่ จนพอมาเจอผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งก็คือน้ำก็ทำให้เขามีเป้าหมายในชีวิตว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร ก็คือทำเพื่อคนที่เขารู้สึกดีด้วย

          ส่วนพาร์ทชีวิตทางครอบครัวของเขาก็จะค่อนข้างห่าง ๆ กัน ซึ่งการที่เขาได้เดินทางไปทิเบตเพราะว่าน้ำในเรื่องนี้เขาป่วย ตอนแรกเขากับน้ำต้องไปด้วยกัน แต่วุฒิไม่ได้ไปเพราะติดธุระหลาย ๆ อย่าง จนตอนนี้น้ำเขาป่วยไปไม่ได้แล้ว ก็จะเหลือเขาที่เขาจะต้องไปทิเบตเอง ไปคนเดียวแล้วมันเป็นภาระกิจและเป้าหมายที่เขายังทำไม่สำเร็จเลยก็ต้องไป อาจจะด้วยความรู้สึกผิดด้วยที่ครั้งที่แล้วไปไม่ได้และก็ตั้งใจทำเพื่อน้ำด้วย คือต้องบอกว่าทั้งวุฒิและน้ำเองก็เหมือนใช้ชีวิตแบบอิสระ ๆ ชอบท่องเที่ยว ทำโน่นทำนี่ แล้วก็จะหาเวลาเพื่อไปต่างประเทศด้วยกันตลอด ไปในที่ต่าง ๆ ไปถ่ายรูปด้วยกัน อยู่ด้วยกัน นี้คือเป้าหมายที่เขามีความสุขด้วยกันในเรื่องแบบนี้ครับ แต่ก็จะมีที่เดียวที่เขาไม่ได้ไปด้วยกันก็คือทิเบต

shambhala

  ในเรื่องชัมบาลาต้องแสดงร่วมกับอนันดาด้วย?

          ในเรื่องวุฒิจะมีพี่ชายที่ชื่อ ทิน รับบทโดย อนันดา ที่จริงอนันดาอายุน้อยกว่าผมนะ แต่หน้าไปไง (หัวเราะ) ตัวใหญ่ก็ดูเหมือนเขาดูเป็นพี่อะไรแบบนี้ ผมจะมีความรู้สึกว่ามันจะมีบางบ้านที่แบบพี่ชายจริง ๆ ก็รักกันแหละ เพียงแต่มันไม่ค่อยได้คุยอะไรกัน เจอกันบ้างนาน ๆ ทีเจอกัน ก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกัน เป็นสไตล์ห่างเหิน จริง ๆ มันคือความผูกพันที่ตัดกันไม่ขาด เพราะแต่ละคนก็อยู่โน่นอยู่นี่ ซึ่งผมว่านี่มันก็น่าจะลิงก์กับทุก ๆ ครอบครัวที่มีพี่น้อง คนเราจะพูดจาแบบนี้ครับพี่น้อง ความแตกต่างของพี่น้องสองคนนี้ คือวุฒิพยายามจะมีเป้าหมายมีความรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับครอบครัวกับตัวเองกับอะไร แต่ว่าพี่ชายมันจะแบบไม่รับผิดชอบ เหมือนเวลาทำอะไรเหมือนใช้ชีวิตบนความเสี่ยงครับ

          คือสิ่งที่เขาทำจะล้มจะพลาดจะอะไรหรือจะมีปัญหาเหมือนเขาไม่กำหนดไว้ก่อน ก็แล้วแต่ดวงแต่อะไรเอา ซึ่งมันจะแตกต่างกัน เรามีความคิดที่ไม่เหมือนกัน ผู้กำกับเขาจะไม่อยากให้คนดูรู้สึกติดภาพเดิม ๆ อะไรก็จะเห็นว่าอนันดาเล่นเศร้าโศก พ่อแม่มีปัญหาหรืออะไรตลอดเวลา หน้าเศร้าไฝอยู่งี้ (ซันนี่อำชี้ไฝใต้ตาที่เป็นเอกลักษณ์ของอนันดา) คือตลอดเวลา เพราะไฝหรือเปล่าที่ทำให้ดูแบบต้องเศร้า คือจะเห็นเขาในบทบาทแบบนี้ตลอดเวลา แบบซีเรียส แบบเขาไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยหัวเราะ หัวเราะก็น้อย ๆ เหอะ ๆ ซึ่งสำหรับผมที่ผ่านมาคนดูก็จะเห็นในแง่ของการไม่ซีเรียสจะเป็นการที่แบบสบาย ๆ มากกว่า แต่ทีนี่คือผู้กำกับเขาไม่อยากให้คนติดภาพอะไรพวกนี้ อยากเห็นอนันดาหัวเราะพูดจากวนคนตลอดเรื่อง เล่นต๊องเอาฮาตลอดเรื่อง ซึ่งผมจะเป็นซีเรียส

shambhala

          สำหรับพี่ชายของผมคนนี้นะครับ อนันดา เอเวอริงแฮม ก็รู้สึกดีครับที่ได้มาร่วมงานด้วย ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสได้ดูหนังเขาครับ หนังที่คนบอกว่าซีเรียส น้ำตา ๆ ดราม่า ๆ อะไรของเขา (หัวเราะ) ก็นั่งดู เออนักแสดงคนนี้มีความดี และมีพลังในการแสดงออกและในการเล่น แล้วเวลาพอได้มาพูดคุยกัน เขามีเจตนาที่ดีและเขาเป็นคนดี ดูเป็นคนนิสัยดีมากเลย แต่อาจนิสัยไม่ดีก็ได้นะ (หัวเราะ) แต่ดูเป็นอย่างนั้น ในความรู้สึกของผม เอาจริง ๆ ก็ไปอยู่ที่โน่น อนันดา เอะอะจะถอดเสื้อโชว์กล้ามอะไรไม่รู้ตลอดเวลา (หัวเราะ) เดินมาสะกิดผู้กำกับ พี่เอางี้ไหมเดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่งไกล ๆ แล้วพี่ถ่าย สักพักมาอีกวันละ พี่เอางี้ไหม พี่เห็นเขาลูกนั้นป่ะ เดี๋ยวผมถอดเสื้อนะและวิ่ง คือเหมือนเป็นตัวละครในการ์ตูน พี่อยากจะถอดเสื้อไรตลอดเวลาวะ เข้าในป่า เฮ้ยหนาว ๆ อยากถอดทำไม ได้รู้ว่าอย่างนี้นี่แหละคืออนันดา (หัวเราะ)

  เห็นผู้กำกับบอกว่าต้องการพลิกบทบาทให้อนันดามาเล่นคอเมดี้บ้าง และให้ซันนี่เล่นดราม่า?

          ผมก็ไม่เข้าใจว่าเขามีความคิดอะไรของเขา (หัวเราะ) แต่ในเรื่องของตัวละครผมเล่นตัวไหนผมจะรู้สึกว่าทุกคนมันแตกต่าง ทุกตัวละครมันไม่มีอะไรที่มันเหมือนกันอยู่แล้ว เพราะว่ามันคือคนละคนกันแค่นั้นเองจริง ๆ ก็เหมือนมีความคิดมีปมอะไรในใจ แต่จริง ๆ คือเขาเป็นคนที่จริงจังกับทุก ๆ อย่าง ต้องอยู่ในกรอบ จะใช้เงินไปต่างประเทศก็ไม่อยากให้ใช้เงินเยอะ ไอ้นี่ก็แบบไม่แคร์ เอาเงินมาแล้วไปซื้อเบียร์หมดแบบนี้ เราก็จะดูโน่นเราจะไปแวะนี่ เพราะเราจะทำเป้าหมายของเราให้สำเร็จ แต่ไอ้นี่ก็จะทำเสียตลอด เรื่องก็จะเป็นแบบนี้ เพราะว่ามันคือความรับผิดชอบ จริง ๆ เราเป็นน้องแต่เรามีความรู้สึกว่า ถ้าเราพยายามทำตัวให้มันถูกต้อง ดูแลคนในบ้าน ซึ่งพี่ชายเราก็จะหายไปเลย ทำอะไรในชีวิตเขา เราก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

ชัมบาลา

  ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าสำหรับบทนี้?

          จริง ๆ ไม่ค่อยครับ มันเป็นการคิดมาแล้ว เราอยากให้เขาเป็นยังไง เราแค่เชื่อในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น มันก็จะเป็น สิ่งที่ยากก็คือสถานที่หรือการถ่ายทำมากกว่าต้องไปไกล ถึงโน่นแล้วหายใจไม่ค่อยออก มันหนาวมาก สิ่งที่ยากมันควบคุมไม่ได้ แล้วหนังเรื่องชัมบาลานะครับ เป็นเรื่องราวของการเดินทาง ชัมบาลา จริง ๆ มันคือ สถานที่นะครับเป็นสถานที่ในทิเบตที่มีคนบอกไว้ว่า นี่คือชัมบาลาทุกคนต้องไปให้ถึง ต้องไปเจอแล้วจะรู้สึกอะไร แต่เราก็ไม่มีข้อมูลเลยว่าเราไปแล้วจะเจออะไร ไปแล้วมันจะอยู่ที่ไหน หรืออะไรจุดไหน จริงที่มันเรียกว่าชัมบาลา มันไม่มีรูปให้ดูครับ มันมีแต่คนบอกว่าแถวนี้คือชัมบาลา อยู่ในเป้าหมายเป็นสถานที่

  ในการเดินทางสู่ทิเบต และการค้นหา สิ่งที่เรียกว่า ชัมบาลา สำหรับซันนี่แล้วมันน่าสนใจอย่างไร กับการที่ตัวละครตัวหนึ่งที่มีความมุ่งมั่นในศรัทธาที่มีความรักคนรักเป็นแรงบันดาลใจอย่างนี้?

          สิ่งสำคัญคือการที่ได้ทำอะไรเพื่อใครสักคน ผมว่ามันเริ่มมาจากความรัก ความอยากให้เขา อยากทำอะไรให้คนหนึ่ง ๆ ที่เรารัก ก็คือ ผมว่าการที่เราอยู่ดี ๆ เราจะทำอะไรขนาดนี้ ทำสิ่ง ๆ หนึ่งที่ตัวเองอยากหรือไม่อยากไม่รู้เพื่อใครสักคนหนึ่ง มันเป็นอะไรที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดี ๆ อยู่แล้ว

ชัมบาลา

  ส่วนตัวแล้วเชื่อใน \'พลังศรัทธาของความรัก\' มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แล้วเคยทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นพลังศรัทธาของความรักหรือมีความรักเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่ อย่างไร?

          เชื่อพลังแห่งศรัทธาในรักไหม คือ ผมเชื่อในบางเรื่อง อย่างครอบครัวเนี่ยเชื่อมากครับ ผมเชื่อในพลัง คือทำทุกอย่างเพื่อเราได้ คือมันไม่มีข้อแม้ไงครับถ้าเป็นพ่อแม่ เขาเลิกเป็นแม่ลูกอะไรกับเราไม่ได้ คือเป็นแฟนเป็นอะไรมันเลิกกันได้ คือสิ่ง ๆ นี้มันเลิกกันไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นทีจะต้องเลิกด้วย ไม่มีความคิดในหัวเขาด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องเลิกเป็น เนี้ยมันคือรู้สึกที่สุด เนี้ยมันคือพลังแห่งความรักของจริง ไม่ต้องมาบอกว่าเขารักเราไหม มันส่งมาได้ตลอดเวลา รู้สึกได้

  ก่อนไปทิเบตคาดหวังว่าจะเจออะไร แล้วพอไปถึงแล้ว?

          คือก่อนไปก็ไม่ได้ศึกษาอะไรมากมาย นึกว่าจะออกจากจีนมากกว่านี้ เราไปผิดฝั่งด้วยครับ ต้องไปอีกฝั่งหนึ่ง จริง ๆ ที่เขาไปฝั่งที่ฮิต ๆ กันคือเมืองหลวง ลาซา ก็คงเป็นแหล่งท่องเที่ยว คนไปกันเยอะแยะ แต่ฝั่งของชัมบาลาเนี้ย ก็เป็นฝั่งที่เลยจากจีนขึ้นไปจริง ๆ ทิเบตจริง ๆ ไม่ใช่ประเทศนะครับ เหมือนเป็นแบบแยกออกมาจากจีนอีกทีหนึ่ง ก็คือประเทศจีนครับแต่เป็นคนเหมือนเป็นชนกลุ่มน้อยอะไรแบบนี้ ก็คือส่วนหนึ่งของจีนครับ จริง ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเปรียบเทียบยังไง จริง ๆ คนก็ไปลาซากันเยอะ ผมไม่เคยไปไงครับ ผมเคยไปแต่ชัมบาลา ผมก็มีความคิดว่าทิเบตเป็นแบบนี้ แต่คนเขาก็แตกต่างกันนะครับ คนทิเบตหน้าตาแตกต่างกับคนจีนก็คือแยกออกมาจาก... ถ้านั่งรถสิบกว่าชั่วโมงได้ก็แตกต่างแล้วแหละ คงจะแยกออกแล้วแหละ (หัวเราะ)

  เสน่ห์ของดินแดนทิเบตนี้ ที่เราได้มีโอกาสไปสัมผัส?

          จริง ๆ คือเสน่ห์ของประเทศนี้คือเป็นในแง่ของความคิดมากกว่าความศรัทธาความเชื่อของคนที่นั่น คือในหนังเขาจะบอกตลอดเวลาว่าความเชื่อของคนที่นี่คือเขาทำเพื่อคนอื่น เขาสวดมนต์เพื่อที่ให้คนที่เขารัก ส่วนมากจะเป็นอย่างนี้คือทำผิดเขาจะมีการกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ไปครับ เพราะว่าสิ่งที่ทำเนี่ยรู้สึกในความผิดบาปของตัวเองกับคนอื่นนะครับกับตัวเองก็เลยทำแบบชดเชยด้วยการนี้ คือสิ่งที่เขาเชื่อนะครับ ชดเชยด้วยการที่ทำให้ตัวเองลำบากเพื่อคน ๆ นั้น เพื่อทำร้ายตัวเราให้เราเจ็บด้วย เพื่อที่จะลบล้างความผิดที่ทำกับเขาไว้นี่คือประเด็นหลัก ก็จะเป็นเรื่องความเชื่อตลอดเวลาที่มีให้เห็นที่มีธงผูก (ธงมนต์) มีคนเดินมาจะมีอะไรหมุน ๆ (กงล้อมนตรา) ที่เห็นบ้าง จริง ๆ ก็จะสะท้อนครับว่าเขาเห็นในเรื่องอะไร

          คือไม่ได้เห็นจริงจังขนาดนั้นจะเห็นใกล้ ๆ วัดที่มีคนทำ แต่จริง ๆ คือที่เราไปเป็นช่วงที่แบบใบไม้ร่วงแล้วเพื่อจะเข้าฤดูหนาว ที่ผมไปในแบบใบไม้ร่วงนี้ คือเปลี่ยนข้ามวันเลยนะ สมมติแบบเหลือง ๆ อยู่อย่างนี้ ถ่ายเสร็จเราก็นอนตื่นมาตอนเช้าขาวโพลนหมดเลยเป็นหิมะหมดเลย แบบเปลี่ยนข้ามวัน จริง ๆ อยากอยู่ตอนเขียวด้วย คนถ่ายรูปมาแบบไม่เคยเห็นฟ้ามาก่อน ฟ้าแบบฟ้าจริง ๆ ไม่รู้ว่าเห็นใกล้หรือสูงจากน้ำทะเลเยอะผมก็ไม่รู้ สีมันแตกต่างกันมากครับ

ชัมบาลา

  นอกจากตัวอนันดาแล้ว ยังได้ร่วมงานกับนักแสดงหญิงหน้าใหม่ด้วย?

          คือจริง ๆ ในพาร์ทผู้หญิงก็จะเจอกันไม่ค่อยเยอะ เพราะเราต้องแยกตัวไปทิเบตด้วยไง ก็ดีครับ ได้เล่นกับฝนซึ่งเขาเป็นนักแสดงใหม่ด้วย เขาก็พยายามทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุด ก็ดี มีความตั้งใจ ต้องบอกว่าบทน้ำที่ฝนแสดงถือว่ายากและท้าทายครับ คือบทฝนในเรื่องเขาจะเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างจะแข็งแกร่ง เขาเลยทำให้ตัวละครวุฒิซึ่งเหมือนมันไม่มีที่พึ่งอะไร รู้สึกว่ามีเป้าหมายในชีวิต หลังจากที่ได้มาเจอน้ำ และตัวน้ำจะพูดและคอยบอกตลอดเวลาในเรื่องของการอยากให้วุฒิไปเจอชัมบาลา อยากให้ดูแลตัวเอง แข็งแกร่ง เข้มแข็ง เข้าใจในโลก ก็ตั้งแต่ทั้งคู่เจอกันครั้งแรกแล้ว

          คือจริง ๆ ก็ไม่ได้ถูกใจอะไรกันมาก เหมือนจะต่อล้อต่อเถียงด้วยซ้ำ พอเจอปุ๊บมันเป็นการพูดคุยพบกันโดยบังเอิญมากกว่าครับ แล้วพอทั้งคู่ได้พูดคุยกัน มันเป็นเหมือนแลกเปลี่ยนวิธีคิด คือวุฒิไม่เคยเจอคน ๆ หนึ่งที่อยู่ดี ๆ มาพูดจาแบบนี้กับเราว่า กลัวทำไมความตายทุกคนก็ต้องตาย เป็นผู้หญิงที่มองเห็นคุณค่าทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งรูปถ่ายธรรมดา น้ำก็จะเห็นคุณค่าของมัน และเป็นคนที่เลือกมองในอีกแง่มุมหนึ่งที่คนทั่วไปเขาไม่ได้มองกัน วุฒิก็เลยรู้สึกดีต่อผู้หญิงคนนี้และหลังจากนั้นก็ได้คบหาและใช้ชีวิตร่วมกัน เพราะจะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ของวุฒิมันก็มีกันอยู่แค่นี้ คือคนรักซึ่งคือน้ำ นอกจากครอบครัวที่มีพี่ชายอีกคน ที่หายไปอยู่ที่ไหนกันไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเหลือเขากับน้ำ แค่นั้นคืออยู่ด้วยกันตลอด ไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด

shambhala

  ทราบมาว่าในการทำงานจะมีการแชร์ไอเดีย เสนอแนะเรื่องการแสดงระหว่างนักแสดงและผู้กำกับตลอดเวลา?

          ครับก็จะมีคุย ๆ กันตลอด เราก็จะช่วยกันทุกตำแหน่งครับ ในเรื่องสมมติผู้กำกับอยากได้ฮาด้วยหรือเล่นมุขด้วย ก็จะมาคิดกันว่ายิงอย่างนี้ฮาไหม เขาก็ถามผู้กำกับ ถามผม ก็จะช่วยกันทั้งหมด ในแง่ของตัวละคร คือจริง ๆ รู้สึกได้เลยครับเวลาที่คนเราอยากทำอะไรจริง ๆ อย่าง อนันดาเขาอาจจะทำงานของเขา เป็นนักแสดง หรือพี่ปี๊ดอาชีพเป็นเบื้องหลังทำอะไรตลอด กลับกันผมรู้สึกว่ายังเฉย ๆ มากสำหรับเขา แต่ทุกครั้งเวลาที่พวกเขาพูดถึงหนังกันความรู้สึกมันส่งออกมาได้เลยว่าเขาอยากทำจริง ๆ และผมรู้สึกดีที่ได้มีโอกาสมาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในหนังของเขา และท้ายที่สุดเราก็ได้ทำความฝันของคน ๆ หนึ่งให้เป็นจริง

  พูดถึงนักแสดงหญิงอีกคนที่ร่วมงานด้วย โอซา แวง

          จริง ๆ กับโอซาไม่ค่อยได้เจอกันมากมายครับ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนน่ารักดีครับ จริง ๆ เขาเหมือนฟังภาษาไทยออกครึ่งหนึ่งครับและก็พูดได้ด้วย พูดไทยได้ด้วยบางคำ ก็ดูเขามีความตั้งใจจริง ๆ นะ แต่เขาชอบมากเลยนะผู้กำกับเนี้ยผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรหรือเปล่า แต่ผู้กำกับเขาชอบโอซามากเป็นพิเศษ (หัวเราะ)

  ประสบการณ์การทำงานในทิเบต

          เรารู้สึกดีครับเพราะว่าตอนเราทำตอนนั้นมันลำบากครับ ในการเดินทางทุกสิ่งทุกอย่าง ไปนอนกลางป่าแบบจะลบยี่สิบ สิบกว่าองศาต้องนอนพื้น เพราะโลเกชั่นที่เราเลือกถ่ายทำไม่สามารถ ไม่มีโรงแรม เพราะต้องขี่ม้าเข้าไปในโลเกชั่น ขี่ม้าข้ามเขาไปในป่า แต่ว่าพอทุกอย่างผ่านมาแล้วก็โอเครู้สึกดีกับมัน แล้วพอได้กลับมาเห็นภาพหรือตัวผลงานที่ปรากฎออกมา พอมองย้อนกลับไปมันรู้สึกดีครับ เราจะไม่เหนื่อยเลย ตอนนั้นมันเหนื่อยในการทำ แล้วกล้าพูดได้ว่าพื้นที่สำหรับหนังแบบนี้มีน้อยมากครับที่เราจะได้เจอ ผมรู้สึกดีมาก ๆ เลยทำให้ผมต้องคว้าไว้ ผมต้องเล่นเพราะไม่รู้ว่าอีกกี่ปีที่จะได้อ่านบทแบบนี้แล้วรู้สึกดีอย่างนี้ครับ

  ก่อนไปมีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?

          การเตรียมตัว ก็คือจริง ๆ แล้วก็มีสิ่งที่เขาบอกเล่ามาทั้งหมดแล้ว แต่เพราะเราก็จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร คือว่าหนาว ตอนแรกที่ไปถึงก็ไม่ค่อยนี่หว่าอะไรแบบนี้ แต่พอไปหนาวแล้วเนี้ย มันหนาวจริง ๆ มันหนาวแบบไม่มีจุดไหนเลยที่อุ่น คือเราจะพยายามหาอะไรไปเกาะ ไปทำอะไร มันทำไม่ได้ คือแบบเปิดแอร์อัดแล้วมีไม่มีผ้าห่มให้ มันเป็นแบบนั้นเลยครับทิเบต แล้วคนเล่าว่านั่งรถไปถึงสิบหกชั่วโมง พอเป็นคำพูดไง เฮ้ยมันก็นานนะ แต่ไม่ค่อยนานเท่าไรมั้งสิบหกชั่วโมงเดี๋ยวก็ถึง ปรากฎว่าก็ยังไม่ถึง สิบหกก็คือสิบหกจริงเพราะเราแทบนับทุกนาทีไม่มีอะไรให้เพลิดเพลินเลย นั่งสองคนจะอ้วกใส่หน้ากัน นั่งใกล้กันจนเกลียดไอ้คนนั่งข้าง ๆ คือทรหดด้วยถนนก็แบบเหมือนสร้างตลอดเวลาครับ

  ได้ข่าวว่าแม้แต่อาหารการกินก็ยังเป็นอุปสรรค

          จริง ๆ แล้วมีหนึ่งอย่างครับ เวลาที่เราไปเมืองนอกประเทศอะไร ไปแล้วถ้าเป็นยุโรปก็คงต้องมีภาษาอังกฤษ มันคงมีอะไรที่ทำให้เราเข้าใจได้ แต่นี่มาถึงปั๊บจีนล้วน เราคงต้องเอาคนจีนไปด้วยถึงจะช่วยเรามีชีวิตได้ สมมติเรามานั่งกันเองไปกันทั้งกองถ่าย ไปถึงนั่งที่โต๊ะ เฮ้ยหิว ทำยังไง สุดท้ายแต่ด้วยมีความเซอร์อยู่ในตัวไงครับ ก็เลยคือเดินเข้าไปในครัวแล้วชี้ว่าเอานี่ ชี้เนื้อหมู ไปใช้อย่างนี้เลยครับ (ทำท่า) คือมันบอกเขาไม่ได้ ก็ผัดพริกเผา ผัดอะไร เราก็ชี้ ๆ ว่าใส่อะไรบ้าง เป็นแบบนั้นจริง ๆ

shumbala

          ผมพกข้าวเหนียวไปด้วยนะ พกใส่กระติ๊บไป ไปถึงแข็งโป๊กเลยครับ ตอนนั้นที่กินน่าจะมีเนื้อจามรีด้วย แต่จำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะตอนนั้นผมป่วยด้วย ลิ้นมันจะไม่รู้รสอะไรเลย แต่ต้องกินให้หายหิว แต่กินไรไม่ค่อยได้มากเพราะป่วยอยู่ อุปสรรคส่วนใหญ่มีแต่ความหนาว ธรรมชาติต่าง ๆ เจออะไร สิ่งอะไรเยอะ มันอยู่ในพื้นที่สูงด้วย ขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเล 4 พันฟุต แล้วช่วงเวลาที่เราไปด้วยคือในฤดูใบไม้ร่วง ก็เปลี่ยนสีแล้ว ใบไม้เปลี่ยนจากเขียวไปเหลืองแล้ว เราก็จะไปช่วงนั้นแล้วมันก็ข้ามวัน เราขึ้นไปนอนปุ๊บถ่ายเสร็จตื่นมาตอนเช้าก็แบบขาวโพลนไปหมดเลย เป็นช่วงหิมะตก เป็นช่วงที่ฤดูมันเปลี่ยนโดยที่เราไม่รู้ ไม่เห็นกับตาจากเมื่อวานไม่มี ยังแห้ง ๆ อยู่

          คือจริง ๆ ถ้ามาก่อนหน้านี้มันคงเขียวและสวยมาก แต่เวลาเรามาเป็นช่วงที่ใบไม้ร่วงแล้ว ก็จะเป็นสีเหลือง ๆ และเปลี่ยนสี จริง ๆ อยากได้สามสี ถ้าได้สามสีจะสวยมาก แต่อาจจะอยู่ที่นั่นสักสี่เดือน กลับมาเปลี่ยนชื่อ ตอนแรกก็ไม่ได้ร้อน ก็ไม่คิดว่าคงหนาวมาก ก็ไม่หนาวมาก แต่พอไล่จากจีนขึ้นไปเชิงตู เราลงเชิงตูนั่งเครี่องบินมาแล้วก็นั่งรถไป หนาวขึ้นตามระยะทางเลยครับไปถึงอุณหภูมิลดทีละนิด ๆ หนาวขึ้นตามระยะทาง

  ที่บอกว่าหนาว ๆ นี่หนาวระดับไหน?

          อยากให้เข้าใจว่าไม่มีทางพอ ไม่มีที่ว่าจะใส่อะไรแล้วรู้สึกว่าอุ่นจัง สบายใจ ร้อน เหงื่อท่วมไม่มีนะครับ ใส่เท่าไรก็ไม่พอ มีทุกอย่างใส่เข้าไปเถอะ ยิ่งตอนอยู่ในป่าใกล้ชัมบาลา พื้นนี้แบบเย็นอย่างกับน้ำแข็ง ต้องนอนกันอย่างนั้น จุดไฟก็แล้ว อะไรก็แล้ว มีแต่ควัน ดมควันกันตายอีก (หัวเราะ)

  ร่วมงานกับน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ ผู้กำกับภาพระดับท็อปของประเทศ (นางนาก, โหมโรง, ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช, องค์บาก ฯลฯ)

          ชอบมาก ๆ ในเรื่อง นอกจากที่น้ากล้วยเขาเป็นคนนิสัยดีแล้ว น่ารักมากครับ คือในเรื่องของการทำงานของเขา ผมไปดูภาพเขา โอ้โหสวยจังและทำเร็วด้วยนะครับ แสงโน่นนี่ ชอบครับชอบมาก รู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับคนเก่ง ๆ รู้สึกดีมากครับแล้วภาพที่เราถ่ายออกมามันเป็นสถานที่ที่แปลกตาด้วย ถ้าบ้านเราก็เป็นสถานที่ที่คุ้นเคยที่เห็นอยู่แล้ว อันนี้เหมือนเราดูหนังฝรั่งที่เห็นแล้วแบบ เฮ้ย ที่นี่ที่ไหนคิดไม่ออกไม่คุ้นเลย ก็จะได้ความรู้สึกแบบนั้น อาจจะเป็นสักเรื่องที่ไม่มีเชื้อชาติในโลก เป็นภาพที่แบบไม่รู้ชาติไหน ถ้ามันไม่พูดไทยกันเราจะรู้ไหมว่ามันชาติไหนกัน และนักแสดงแต่ละคนชื่อ อนันดา ชื่อซันนี่ โอซา มีฝนคนเดียวที่ดูไทยเนี่ยแหละ (หัวเราะ) เฮ้ยหนังอะไรเนี้ยนานาชาติ ซึ่งจริง ๆ ต้องบอกว่าการทำงานที่กว่าจะได้ภาพสวย ๆ ออกมาอย่างที่เห็นมันยากมาก

shambhala

  เรื่องราวของชัมบาลา

          ก็สำหรับเรื่องชัมบาลา ก็จริง ๆ แล้วมันเริ่มจากการเดินทางด้วยความอยากจะทำอะไรให้ใครสักคนหนึ่งก่อน คือด้วยเหตุการณ์นี้เราก็จะมองว่าเป้าหมายเราเป็นอย่างไรก่อน และก็ออกเดินทางโดยที่ดันมีความบังเอิญว่าพี่ชายของเราที่อยู่ดี ๆ เละเทะอะไรมาไม่รู้ และกลับมาต้องไปด้วยกัน มันก็เลยเกิดเป็นสถานการณ์ที่ว่าจำเป็นที่เราจะต้องไปด้วยกันเพราะมันไม่มีใครไปกับเราจริง ๆ เพราะเราไปคนเดียวมันคงไม่รอด ก็เลยต้องไปด้วยกัน และเราเองก็ต้องการหาคนถ่ายรูปให้เราด้วยและดันมาเป็นไอ้นี่ ซึ่งแบบไม่เจอกันนานมากแต่ด้วยความสนิทกันที่เป็นพี่ชายของเราก็เลยไปด้วยกัน โดยเป้าหมายคือการค้นหาชัมบาลา

          ส่วนเป้าหมายของพี่ชายเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปค้นหากับเราหรือแค่ไปเปลี่ยนที่กินเหล้าเหมือนที่เขาพูด แล้วทำไมถึงต้องเป็นทิเบต จริง ๆ แล้วมันมีเหตุผลมันมีความสำคัญไม่ใช่ เอะอะอยากไปเมืองนอกกันเฉย ๆ  มันเป็นความรู้สึกที่ นี่เป็นดินแดนแบบนี้มันมีเรื่องความเชื่อหรือเรื่องความคิดความรู้สึกของประเทศนั้นได้เข้ามาหาคนสองคนนี้ที่มีความคิด มีปมอยู่ในใจอยู่ ซึ่งมันตรงกับพวกเขาทั้งคู่ เหมือนความบังเอิญก็เลยได้ไปที่นี่ และก็ได้ไปด้วยกัน แล้วความเป็นทิเบตทำให้เขาคิด ทำให้เขารู้สึก เพราะระยะเวลาการเดินทางในทิเบตมันยาวนานมาก มันเลยเป็นเวลาที่ นี่แหละมีเจอกันอยู่สองคนแค่นี้ มันก็เลยทำให้เรามีความรู้สึกว่ามันมีอะไรในชีวิตของเราที่ขาดหายไป อะไรของชีวิตที่เราต้องการ อะไรในชีวิตเราที่เราต้องดูแล ในเรื่องจะเป็นแบบนั้น

  นอกจากเรื่องราวของชัมบาลาแล้ว ซันนี่มีของที่ระลึกเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาของคนทิเบตมาแนะนำด้วย

          วันนี้นะครับ จะมาแนะนำสินค้านำเข้าจากทิเบตนะครับ เปรี้ยง อันนี้ก็เป็นกงล้อมนตรานะครับผม คือจริง ๆ จะมีทั้งอันใหญ่อันเล็ก แต่นี่เป็นสำหรับคนที่ใช้ไว้ถือไว้ ข้างในก็จะเป็นคัมภีร์มียันตุ์ก็จะแบบว่าคือหมุนรอบจริง ๆ ตามความเชื่อของกงล้อมนตราก็จะสวดหนึ่งรอบ หนึ่งครั้งเท่ากับสวดหนึ่งรอบ แต่ถ้าคนที่ถือไปด้วยเนี่ยก็จะให้มีสมาธิหมุนและสวดไปด้วย ก็คือคนทิเบตก็จะทำอย่างนี้ เหมือนมีสติแยกความรู้สึกสวดไปด้วย หมุนไปด้วยกงล้อมนตรา แต่เขาจะทำแล้วคิดอะไรเพื่อคนอื่นนะ ถ้าหมุนผิดฝั่งก็ไม่ดีนะครับ แต่เราหมุนไม่ได้แล้วมีสติแล้วสวดไป

  ท้ายนี้ฝากอะไรเกี่ยวกับชัมบาลา

          ติดตามนะครับข่าวคราวของชัมบาลา เข้าฉาย 23 สิงหาคม นี้นะครับ หรือติดตามได้ในอินสตาแกรมนะครับ 99_stepstoshambhala จะมีข่าวคราวว่าเราทำอะไรกันมาบ้างที่ทิเบตก่อนชัมบาลาจะเข้า ดูกันด้วยครับ


shambhala



 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก 






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
สัมภาษณ์ ซันนี่ กับจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ ชัมบาลา ! อัปเดตล่าสุด 27 กรกฎาคม 2555 เวลา 14:28:15 1,711 อ่าน
TOP