สัมภาษณ์ นิโคลัส ฮอลท์ ซอมบี้หล่อตายซากใน Warm Bodies (มงคลเมเจอร์)
นิโคลัส ฮอลท์ หนุ่มน้อยหน้าใสจาก About A Boy ที่โตขึ้นมากลายเป็นหนุ่มหล่อสุดฮ็อต มีผลงานการแสดงใน Clash of the Titans, A Single Man, X-Men: First Class จนมาถึง "Warm Bodies ซอมบี้ที่รัก" เรื่องราวของซอมบี้หนุ่มชื่อ อาร์ อาศัยอยู่ในโลกที่แทบไม่หลงเหลือมนุษย์อีกแล้ว วันหนึ่งเขาได้พบกับ จูลี่ (เทเรซ่า พัลเมอร์ จาก The Sorcerer’s Apprentice, I Am Number Four) แม้หัวใจของ \'อาร์\' จะหยุดเต้นไปแล้ว แต่วินาทีแรกที่เขาได้เห็น จูลี่ มันทำให้เขารู้สึกถึงเหตุผลของการมีชีวิตตั้งแต่ที่เขาตาย และอาจเป็นครั้งแรกที่เขาต้องการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
คุณเตรียมตัวยังไงในการเล่นเป็นซอมบี้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ พวกเรามีโรงเรียนสอนการเป็นซอมบี้อยู่ในกองถ่าย (หัวเราะ) นอกจากทีมเมคอัพที่ช่วยเราเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นซอมบี้ คือการแสดงแบบน้อยได้มาก ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความพิเศษของ อาร์ ในช่วงแรกของหนังคือ เขาพยายามจะสื่อสารกับซอมบี้ตัวอื่น แต่มันเป็นไปได้ยาก การที่เขาสูญเสียการสื่อสารด้วยเสียง มันเหมือนกับตัวตนถูกขังอยู่ในร่างของตัวเอง ชีวิตในแต่ละวันจึงซ้ำซาก น่าเบื่อ เหมือนมีชีวิตแต่กลับไม่มีชีวิต
Warm Bodies ทำให้นึกถึงเรื่องราวใน Romeo and Juliet และ Edward Scissorhands รวมถึง Pinocchio ที่ตุ๊กตาไม้ต้องการที่จะเป็นคน?
ใช่ครับ นั่นคือสิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับตัวตนของ \'อาร์\' เขาคือคนที่พยายามรักษาเศษเสี้ยวความเป็นมนุษย์ แต่ในความเป็นจริง เขาเป็นซอมบี้ ต้องกินเนื้อมนุษย์เพื่อความอยู่รอด แต่พอเขาพบ จูลี่ เขาก็เห็นเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่สามารถดึงเขากลับสู่การเป็นมนุษย์ ผมอยากยกเครดิตให้ เทเรซ่า พัลเมอร์ ที่แสดงได้อย่างกระตือรือล้นและเปี่ยมพลัง จนทำให้ \'อาร์\' ตัดสินใจแบบนั้น
ช่วยเล่าตอนกินสมองให้ฟังหน่อย
อร่อยดีครับ (หัวเราะ) พวกเขาทำสมองขึ้นมาจากอะไรสักอย่างที่กินได้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวฟองน้ำเย็น ๆ ถึงมันจะไม่มีอันตราย แต่ผมก็รู้สึกหยะแหยงเหมือนกัน มีฉากหนึ่ง ผมต้องเปิดกะโหลกหุ่นเพื่อกินสมองปลอม ๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย แต่พูดถึงการกินสมองแล้ว ผมว่าแนวคิดที่ โจนาธาน เลอวีน (ผู้กำกับ) คิดมาค่อนข้างน่าสนใจ เขาบอกว่าสมองบรรจุความทรงจำ และซอมบี้ต้องการกลับมามีชีวิต มันทำให้พวกเขาเลือกกินสมองก่อน เพราะต้องการซึมซับความทรงจำของมนุษย์ ซึ่งทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับว่า ทำไมซอมบี้ถึงกินสมองเปลี่ยนไปเลย มันเจ๋งมาก
คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้คนดูเข้าข้างคุณ ทั้งที่ \'อาร์\' กินสมองของมนุษย์เป็นอาหาร
ผมคิดว่าคนดูจะเข้าใจถึงความจำเป็นของ \'อาร์\' และเข้าใจความคิดของเขาผ่านเสียงบรรยาย ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อาจพูดออกมาได้ ผมคิดว่าวิธีที่ โจนาธาน ถ่ายทอดตัวตนของ \'อาร์\' ช่วยให้คนดูยิ่งเข้าใจ นั่นคือคุณจะไม่ได้เห็นความโหดร้ายของซอมบี้แบบที่เคยเห็น แต่คุณจะเห็นมุมมองของเขา เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าต้องการมีชีวิตต่อไป
ยากมั้ยที่ต้องรับบทพระเอกที่เป็นซอมบี้
ผมคิดว่าสิ่งที่ยากกว่าคือการแสดงถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นของ \'อาร์\' ทั้งผมและโจนาธานต้องคอยเช็คว่ามีอะไรบ้างที่ทำได้ เช่น เมื่อเขาเริ่มกลับมาเป็นมนุษย์ การพูดในช่วงเริ่มต้นจะทำได้เพียงเสียงคราง แต่ยิ่งเขาได้อยู่กับจูลี่ เสียงของเขาจะกลับมาทีละเล็กทีละน้อย ผมคิดว่าการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด เป็นสิ่งที่ท้าทายและน่าศึกษามากที่สุดสำหรับในการเป็นนักแสดง การต้องใช้สายตาและท่าทางในการสื่อสารเป็นเรื่องที่น่าสนุก และนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบในการแสดงเป็นตัวละครนี้
ช่วยพูดถึงการร่วมงานกับผู้กำกับ โจนาธาน เลอวีน หน่อย
ตอนแรกที่ผมเจอเขา ผมมั่นใจว่าโจนาธานเหมาะสมที่สุดในการเล่าเรื่องที่ไม่ธรรมดานี้ เขาดัดแปลงหนังสือให้เป็นบทหนังอย่างน่าสนใจ มันเป็นบทเรื่องแรกที่ผมอ่านจบในวันเดียว ก่อนหน้านี้ผมได้อ่านนิยายของ ไอแซ็ค มาเรียน และชอบมาก แต่บทภาพยนตร์นั้นมีมุมมองและทัศนคติที่แตกต่างไปอีกแบบ แต่สามารถจับเอาแกนหลักของเรื่องได้ชัดเจน
มีหนังที่เกี่ยวกับซอมบี้เรื่องไหนที่คุณชื่นชอบและเป็นแรงบันดาลใจกับเรื่องนี้ไหม
Return of the Living Dead เป็นหนังซอมบี้เรื่องแรกที่ผมดู ซึ่งถือป็นครั้งแรกของซอมบี้พูดได้ในโลกภาพยนตร์ มันยังมีหนังเรื่องอื่นอย่าง 28 Days Later และ Evil Dead ที่ผมเคยดูและก็ชอบเช่นกัน สิ่งที่พวกเรามีคล้ายกับหนังเหล่านั้นคือ เรามีฝูงซอมบี้ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วอย่างพวกโบนนี่
คุณคิดว่า Warm Bodies ต้องการบอกอะไรคนดู
ผมคิดว่ามันพูดถึงความสัมพันธ์ ความพยายามที่จะเอื้อมถึงบางสิ่งเพื่อเชื่อมต่อกับใครสักคน ใครสักคนที่คุณอาจไม่เคยสนใจในชีวิตประจำวัน มันมีฉากหนึ่งเป็นฉากแฟลชแบ็คถึงชีวิตก่อนซอมบี้จะครองเมือง ทุกคนใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ และไม่เคยสนใจสิ่งรอบตัว Warm Bodies ต้องการบอกว่าเราไม่ควรทำแบบนั้นอีกต่อไป และความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าสองคน ก็อาจจุดประกายอะไรบางอย่างขึ้นได้
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก 
