1. The Equalizer 2
2. The Strangers 2
คืนโหดคนแปลกหน้า ภาคแรกออกมาตั้งแต่ปี 2008 เป็นหนังทุนสร้างต่ำแค่ 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ก็ทำเงินได้เป็นที่น่าพอใจกว่า 82 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากทั่วโลก ในภาคสองจะพบสมาชิกครอบครัวทั้งสามคนที่โดนผู้ร้ายใส่หน้ากากจับตัวไป แต่ในภาคแรกนั้นมีความครบเครื่องในตัวของมันเองอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีภาค 2 จึงทำให้ The Strangers 2 ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ โจแอนเนส โรเบิร์ต (Johannes Roberts) รับหน้าที่กำกับการแสดง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Strangers
3. Disenchanted
เป็นภาคต่อของ Enchanted ที่ทำให้ เอมี อดัมส์ (Amy Adams) กลายเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในทันทีที่หนังเข้าฉาย และยังเป็นหนังไลฟ์-แอ็คชั่นแนวเจ้าหญิงของ Disney ที่ประสบผลสำเร็จ กวาดรายได้จากทั่วโลกไปกว่า 340 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้าง 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เนื่องจากภาคสองนั้นทิ้งห่างจากภาคแรกนานกว่า 11 ปีทำให้กระแสไม่แรงเท่าที่ควร
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Enchanted
4. The Purge 4
หนังอาชญากรรมสยองขวัญเฟรนไชส์ Purge ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยสามภาคที่ผ่านมาใช้ทุนสร้างรวมกันไปแค่ 23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กวารายได้ทั่วโลกรวมกันกว่า 315 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในภาคนี้จะเล่าถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อประท้วงให้ยกเลิก Purge 12 ชั่วโมงที่สามารถก่ออาชญากรรมได้โดยไม่ผิดกฎหมายและโรงพยาบาลก็ไม่รับรักษา ต้องรอลุ้นกันว่าภาคนี้จะมีฉากฆาตกรรมสยองแค่ไหน และจะสามารถยกเลิก Purge 12 ชั่วโมง ได้หรือไม่
ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Purge
5. Goosebumps: Horrorland
Goosebumps ของปี 2015 ไม่ได้มีความน่าทึ่งมากมายแต่ก็ถือว่าเป็นหนังดีเรื่องหนึ่งที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทำเงินจากทั่วโลกอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้าง 58 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงอย่างนั้นการทำภาคต่อก็ถือว่าสร้างความน่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่แฟน ๆ ก็ตั้งตารอภาคต่ออย่างใจจดใจจ่อ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Goosebumps
6. Mamma Mia: Here We Go Again!
เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 609 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากทุนสร้าง 52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะไม่เข้าใจนักว่าทำไมถึงทำภาคต่อทิ้งห่างจากภาคแรกนานกว่า 10 ปีทั้ง ๆ ที่หนังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และจากสุภาษิตที่ว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อนนั้นหนังควรจะทำภาคต่อหลังจากภาคแรกเข้าฉายไป 2-3 ปี แต่นี่ก็ถือเป็นข่าวดีที่หนังเบาสมองที่สามารถดูได้ทุกเพศทุกวัยเรื่องนี้กลับมาอีกครั้ง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mamma Mia!
หนังดั้งเดิมนั้นทำไว้ได้ดีมากจนเป็นเหมือนตัวการันตีให้ติดตามภาคต่อ แต่ก็ยากที่ Rocket Pictures จะสามารถสร้างให้ได้คุณภาพเท่าเทียมกับ Pixar, Disney หรือ DreamWorks โดยภาคนี้ เชอร์ลอร์ค จะตามสืบคดีการหายตัวไปอย่าลึกลับของโนมส์ในสวน โดย เจมส์ แม็กอะวอย (James McAvoy) และ เอมิลี บลันต์ (Emily Blunt) จะกลับมารับบทเดิม
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Gnomeo and Juliet
8. Maze Runner: The Death Cure
หลังจาการถ่ายทำหยุดชะงักไปพักใหญ่เนื่องจาก นักแสดงนำอย่าง ดีแลน โอ\'ไบรอัน (Dylan O\'Brien) ประสบอุบัติเหตุระหว่างถ่ายทำ ทำให้หนังไม่สามารถเข้าฉายตามกำหนดเดิมในปี 2017 ได้จึงต้องเลื่อนไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 แทนและฝ่ายการตลาดของ Fox คงต้องเร่งทำงานอย่างหนักเพื่อโปรโมทหนังใหม่อีกครั้ง The Death Cure เป็นภาคสุดท้ายของหนังเฟรนส์ไชส์นี้ และหวังว่าจะไขปริศนาทุกอย่างในเรื่องให้กระจ่างเสียที
9. Insidious: Chapter 4
หนังสยองขวัญเฟรนไชส์ Insidious ที่ดูเหมือนจะหายไปนานมาก กำลังจะกลับมาสร้างความหลอนอีกครั้ง ซึ่งภาคนี้ เอลิส เรนเนียร์ (ลิน เชย์) จะเป็นตัวดำเนินเรื่อง ซึ่งจากการที่ผ่านมากว่า 3 ภาคแล้วทำให้ภาคที่ 4 ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แน่ผลงานภายใต้การกำกับของ อดัม โรบิเทล (Adam Robitel)อาจทำให้หนังมีจุดสนใจใหม่ๆก็เป็นได้
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Insidious
10. Bad Boys For Life
เป็นหนังที่ทิ้งช่วงนานที่สุดจากหนังภาคต่อที่จะเข้าฉายในปี 2018 โดยภาค 2 นั้นเข้าฉายตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งผ่านมามากว่า 14 ปีแล้ว ครั้งนี้เราจะได้เห็นการกลับมาของ Bad Boys ภาค 3 พร้อมคู่หูคนเดิมอย่าง วิล สมิธ (Will Smith) และมาร์ติน ลอว์เรนซ์ (Martin Lawrence) กลับมาสวมบท ไมค์ ลอว์รีย์ และมาร์คัส เบอร์เน็ตต์ ส่วนเนื้อเรื่องนั้นยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะเป็นอย่างไร
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Bad Boys