10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหนังตระกูล Jason Bourne เตรียมพร้อมต้อนรับการกลับมาของ เจสัน บอร์น ในภาคที่ 5 หนังสายลับตระกูล Jason Bourne สร้างจากนิยายชื่อดังของนักเขียน โรเบิร์ต ลัดลั่ม (Robert Ludlum) และกลายเป็นที่ชื่นชอบนับตั้งแต่ The Bourne Identity เข้าฉายเมื่อปี 2002 ซึ่งในปี 2016 การเดินทางครั้งใหม่ของ เจสัน บอร์น กำลังจะเปิดฉากอีกครั้งในภาค 5 ที่ใช้ชื่อว่า Jason Bourne แต่ก่อนที่เราจะได้ชมพร้อมกันในโรงภาพยนตร์ มาอุ่นเครื่องไปกับข้อมูลจากเว็บไซต์ IFC ที่นำเสนอ 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับหนังตระกูล Jason Bourne ไปดูกันว่าจะน่าสนใจอย่างไร
1. แมตต์ เดมอน (Matt Damon) ไม่ใช่คนแรกที่สวมบท เจสัน บอร์น เพราะถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อปี 1988 เคยมีการหยิบหนังสือของ โรเบิร์ต ลัดลั่ม มาสร้างเป็นมินิซีรีส์ The Bourne Identity ซึ่งคนที่สวมบทเป็น เจสัน บอร์น ได้แก่ ริชาร์ด แชมเบอร์เลน (Richard Chamberlain) ส่วนคนที่สวมบทเป็นสาวคนรักอย่าง มารี ได้แก่ แจ็กลิน สมิธ (Jaclyn Smith)
2. ก่อนที่ The Bourne Identity จะเข้าฉายเมื่อปี 2002 หลายคนทำนายว่าหนังเรื่องนี้ต้องเจ๊งแน่นอน เพราะช่วงนั้นมีข่าวด้านลบจากเบื้องหลังออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นข่าวความขัดแย้งระหว่างผู้กำกับและ Universal Pictures ไปจนถึงการถ่ายซ่อมและแก้บทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งทำให้แผนการล่าช้าจนงบบานปลายจาก 8 ไปเป็น 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม The Bourne Identity ประสบความสำเร็จด้วยรายได้จากทั่วโลก 214 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
3. แดเนียล เคร็ก (Actor Daniel) เจ้าของบทสายลับ เจมส์ บอร์น คนปัจจุบัน เคยมาเยือนกองถ่าย The Bourne Legacy อยู่ครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเขามาหา ราเชล ไวซ์ (Rachel Weisz) ซึ่งเป็นทั้งภรรยาและนักแสดงของเรื่อง อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่ตัวละครนำใน The Bourne Legacy กลับไม่ใช่ เจสัน บอร์น แต่เป็น แอรอน ครอส ซึ่งรับบทโดย เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner)
4. ระหว่างการถ่ายทำ The Bourne Ultimatum แมตต์ เดมอน เผลอต่อยเพื่อนนักแสดงอย่าง ทิม กริฟฟิน (Tim Griffin) จนจมูกหัก เนื่องจากสถานที่ถ่ายทำแคบกว่าที่วางแผนเอาไว้
5. แมตต์ เดมอน ไม่เคยสวมบทสไตล์ เจสัน บอร์น มาก่อน เขาจึงหาข้อมูลเพื่อแสดงท่าทางของคาแรคเตอร์อย่างสมจริงที่สุด
โดยผู้กำกับภาคแรกอย่าง ดัก ไลแมน (Doug Liman) แนะนำให้เขาเลียนแบบท่าเดินของนักมวย ซึ่งเขาก็รับฟังและใช้เวลากว่า 6 เดือนไปกับการฝึกชกมวย ศิลปะการต่อสู้ และการใช้ปืน
6. แม้หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายของ โรเบิร์ต ลัดลั่ม แต่ผู้เขียนบทอย่าง โทนี่ กิลรอย (Tony Gilroy) ไม่ได้นำหนังสือต้นฉบับมาใช้ในการเขียนบท แต่เขาเขียนบทจากโครงเรื่องที่ผู้กำกับ ดัก ไลแมน เตรียมเอาไว้ให้
7. ดัก ไลแมน เป็นแฟนตัวยงของนิยายชุด Jason Bourne ดังนั้นเมื่อลิขสิทธิ์หลุดมือจาก Warner Bros. เมื่อปลายยุค 90 เขาจึงลงทุนบินไปหาผู้เขียนอย่าง โรเบิร์ต ลัดลั่ม ถึงบ้านที่รัฐมอนแทนา จนในที่สุด ดัก ไลแมน ก็ได้ลิขสิทธิ์มาครอง เพราะเจ้าของนิยายมองเห็นความกระตือรือร้นในตัวเขา
8. รายละเอียดเกี่ยวกับหน่วยงาน Treadstone และภารกิจต่าง ๆ ของ CIA สร้างจากประสบการณ์ของ อาร์เธอร์ แอล. ไลแมน (Arthur L. Liman) ซึ่งเป็นพ่อของผู้กำกับ ดัก ไลแมน โดยเขาเคยเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาในกรณีอิหร่าน-คอนทรา อันโด่งดังเมื่อยุค 1980
9. แฟรงกา โพเทนเต้ (Franka Potente) เจ้าของบท มารี ในหนังสองภาคแรก ไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่ผู้กำกับ ดัก ไลแมน วางไว้ในใจ
เพราะอันที่จริงเขาอยากให้ ซาราห์ พอลลีย์ (Sarah Polley) มาสวมบทนี้มากกว่า แต่เธอตอบปฏิเสธเพราะอยากกลับไปเล่นหนังอินดี้ในแคนาดา ทำให้มีการแก้บทใหม่โดยเปลี่ยนชื่อ มารี เพอร์เซล ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน มาเป็น มารี เฮเลน่า ครอยซ์ ซึ่งเป็นชาวยุโรป
10. การสวมบทเป็น เจสัน บอร์น ถือเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของ แมตต์ เดมอน ซึ่งเป็นที่รู้จักจากหนังดราม่าอย่าง Good Will Hunting และ The Legend of Bagger Vance โดยก่อนหน้านั้น แบรด พิตต์ (Brad Pitt), รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) หรือแม้กระทั่ง ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) ต่างได้รับข้อเสนอให้สวมบทดังกล่าวทั้งสิ้น
ร่วมต้อนรับการกลับมาของ Jason Bourne ได้ในวันที่ 28 กรกฎาคม ตามกำหนดเข้าฉายในบ้านเรา ในภาคนี้ แมตต์ เดมอน รับบทเป็น เจสัน บอร์น เหมือนเดิมภาพจาก
เฟซบุ๊ก TheBourneSeries,
jasonbournemovie.com
