เมื่อครั้งที่ขุนพลผู้เหี้ยมหาญทั้งหลายต่างรบพุ่งรุกรานกันไม่จบสิ้น นั่นคือยุคที่จีนตกอยู่ในที่สุดแห่งความมืดมน ผู้คนล้มตายนับล้านๆ ในขณะที่ผู้รอดชีวิตเหลืออยู่เพียงสองทางเลือก คือฆ่าหรือไม่ก็ถูกฆ่า
ตั้งแต่แสงแรกของวันจนตะวันลับฟ้า ทหารกล้าในสงครามระหว่างทัพเหลียงและทัพเว่ยโรมรันฟาดฟันกันล้มตายเป็นใบไม้ร่วง กระทั่งเหลือผู้ที่ยังหยัดยืนอยู่ได้แค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือ พลทหารเดินเท้าของทัพเหลียง (แจ็คกี้ ชาน) และสองคือ แม่ทัพหนุ่มของทัพเว่ยฝ่ายศัตรู (วังลีฮอม)
พลทหารรอดมาได้เพราะแกล้งตายจนชำนาญ ถึงขนาดมีปลายศรเทียมผูกติดอยู่กับตัวเป็นอุปกรณ์เพิ่มความสมจริง เขาคุมตัวแม่ทัพหนุ่มที่บาดเจ็บไว้และหวังใช้ศัตรูผู้นี้เป็นตั๋วแลกกับอิสรภาพ โดยนำไปส่งให้ขุนพลฝ่ายเหลียงเพื่อปลดเปลื้องตัวเองจากกองทัพอย่างทรงเกียรติและกลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างสงบ ในขณะที่แม่ทัพหนุ่ม ถึงแม้จะถูกคุมตัวไว้ แต่ก็อ่อนน้อมถ่อมตนกับพลทหารตลอดเวลาที่พากันลัดเลาะรอนแรมบนหนทางอันคดเคี้ยวและยาวไกล
ระหว่างทาง พวกเขาถูกนักร้องสาวพราวเสน่ห์ทว่าเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงลอบวางยาและขโมยตราหยกอันเป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ความเป็นแม่ทัพเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ไป ทั้งสองจึงรีบออกติดตามทันที แต่กลับหลงเข้าไปในขบวนผู้ลี้ภัยจนถูกปล้นอาหารและน้ำไปจนหมด มิหนำซ้ำยังถูกหมีตัวร้ายสะกดรอยตามหมายจะขย้ำสร้างความโกลาหลให้กับชีวิตยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มคู่แปลกคู่นี้ก็จำต้องร่วมมือกันฝ่าฟันวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่รู้เลยว่าองค์ชายเหวินผู้เป็นพี่ชายของแม่ทัพหนุ่มพร้อมด้วยกองกำลังยอดฝีมือกำลังไล่หลังมาติด ๆ หากแต่ไม่ใช่ในภารกิจช่วยชีวิต ทว่าต้องการปลิดลมหายใจของแม่ทัพหนุ่มเพื่อขจัดเสี้ยนหนามที่จะสั่นคลอนการครองบัลลังก์ให้หมดไป
ท้ายที่สุดของการเดินทางอันเหลือเชื่อนี้ ความเกลียดชังระหว่างพลทหารและแม่ทัพหนุ่มค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยมิตรภาพอันงดงามทีละน้อย จนแล้วจนรอด ความขัดแย้งทางศีลธรรมก็ปะทุขึ้นในใจของพลทหาร สิ่งไหนล่ะที่สำคัญมากกว่ากัน? มิตรภาพที่แม่ทัพหนุ่มมอบให้หรือตั๋วเพื่อกลับบ้าน?