เสน่ห์อย่างหนึ่งของหนัง X-Men ที่เราคุ้นเคยคือการร้อยเรียงเรื่องราวจากอดีตไปปัจจุบันได้อย่างลงตัว และยิ่งได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่เป็นผู้ปัดฝุ่นหนังจากฉบับคอมมิคจนกลายมาเป็นหนังแบบที่เรารู้จักกัน เริ่มต้นจากความสำเร็จของ X-Men ภาคแรกในปี 2000 ตามมาด้วยหนังทำเงินอย่าง X2 ในปี 2003 ไบรอัน ซิงเกอร์ ได้ผสมผสานเรื่องราวผ่านของตัวละคร พร้อมด้วยเทคนิคการถ่ายทำที่ทุกคนจำได้ติดตา และสำหรับ X-Men: Days of Future Past ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงคือฉากขโมยซีนของ ควิกซิลเวอร์ จาก Days of Future Past ยังเป็นที่จดจำอยู่ทุกวันนี้
สตอร์ม (โอโรโร มอนโร) เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงให้มาเป็นขโมยตามท้องถนนในไคโร สตอร์มซึ่งรับบทโดย อเล็กซานดร้า ชิปป์ มีความสามารถควบคุมสภาพอากาศได้ทุกรูปแบบ สตอร์มบินได้ด้วยความสามารถในการควบคุมกระแสลม แม้ว่าเธอจะกลายเป็นผู้นำคนสำคัญของเหล่าเอ็กซ์เม็น แต่สตอร์มที่เราพบในภาคนี้กำลังดิ้นรนค้นหาตัวตนของเธอ อะพอคคาลิปส์จะโน้มน้าวเธอให้เข้าร่วมทีมของเขา
"สตอร์มในภาคนี้เป็นคนบ้าบิ่นและทำตามอารมณ์มากกว่าสตอร์มวัยผู้ใหญ่ที่ฮัลลี เบอร์รี เล่นไว้ในหนังเอ็กซ์เม็นภาคก่อน ๆ" อเล็กซานดร้า ชิปป์ กล่าว "เธอสับสนว่าตัวเองต้องการเป็นใครกันแน่ และการขาดโอกาสทำให้เธอเข้าร่วมเป็นจตุรอาชายุคใหม่ของอะพอคคาลิปส์"
แม้อยู่ในความดูแลของชาร์ลส์ แต่จีนก็ไม่อาจปรับตัวเข้ากับโรงเรียนและเพื่อนมนุษย์กลายพันธุ์ได้ง่าย ๆ "เธอรู้สึกโดดเดี่ยว" เทอร์เนอร์กล่าว "เธออยู่ในโรงเรียนสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เธอไม่สามารถควบคุมพลังของตัวเองได้เต็มที่ และนักเรียนคนอื่น ๆ ก็กลัวเธอหรือไม่ก็คิดว่าเธอเป็นตัวประหลาด"
เช่นเดียวกับมนุษย์กลายพันธุ์อีกมากมาย ในตอนแรกสก็อตต์ก็รู้สึกว่าเขาเข้าสังคมไม่ได้ "เขาไม่ค่อยมีอารมณ์ขันเอาซะเลยน่ะครับ" เชอริแดนกล่าว แต่ก็บอกว่าจีนช่วยเปลี่ยนมุมมองในแง่ร้ายของเขาได้อย่างรวดเร็ว "สก็อตต์กับจีนพบกันครั้งแรกแบบเขิน ๆ มีการโปรยเสน่ห์ใส่กันบ้าง และการพบกันครั้งนั้นก็ได้กลายเป็นรากฐานของความสัมพันธ์ที่สำคัญมากในเวลาต่อมา"
แฮงค์ใช้เวลาสิบปีที่ผ่านมาช่วยสร้างและเปิดโรงเรียนสำหรับผู้มีพรสวรรค์ของเซเวียร์ขึ้นมาใหม่ นิโคลัส โฮลต์ ซึ่งกลับมารับบทเดิมที่เล่นไว้ใน X-Men: First Class กล่าวว่า "แฮงค์ยังคงสร้างอุปกรณ์และกลไกไฮเทคต่อไป เขาปรับปรุงเครื่องเซเรโบรและสร้างเครื่องบินเจ็ทที่บินเร็วกว่าเสียงและทนแรงระเบิดได้ เขาชอบการเป็นครูและมีลูกศิษย์เป็นมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นหนุ่มสาว"
ผู้ชมไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้ในภาพยนตร์มาก่อน แต่ฉากของควิกซิลเวอร์ใน X-Men: Apocalypse เหนือชั้นยิ่งกว่านั้น "ความสนุกในการสร้างฉากใหม่เกิดจากหลักการของควิกซิลเวอร์ ซึ่งก็คือในเมื่อเขาเคลื่อนไหวได้เร็วขนาดนั้น เขาจึงสามารถทำกิจกรรมทั้งวันได้ภายในพริบตาเดียว" ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟคท์ จอห์น ดิกสตรา กล่าว อีวาน ปีเตอร์ กลับมารับบทเดิมที่เล่นไว้ใน X-Men: Days of Future Past เขากล่าวว่า "เวลาของควิกซิลเวอร์มีกฎของมันเอง เขาเคลื่อนไหวเร็วมากจนกระทั่งเหมือนหยุดเวลาได้ แต่มันก็ทำให้เขาต้องใช้ความพยายามมากเหมือนกัน"
ฉากใหม่นี้ต้องอาศัยกล้องหลายประเภท เช่น กล้องแฟนทอมและกล้องเรด โดยถ่ายทำที่ความเร็วต่าง ๆ กัน บางครั้งก็เร็วถึง 3200 เฟรมต่อวินาที นอกจากนี้ยังมีการใช้ภาพนิ่งประกอบลงไปด้วย "เป็นฉากความยาวสองนาทีที่เราใช้เวลากว่าเดือนครึ่งในการถ่ายทำ" ซิงเกอร์กล่าว "และต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนที่สุดในยุคปัจจุบันด้วย มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากฉากใน Days of Future Past และอาจแฝงความเศร้าอยู่สักหน่อย แต่มันมีเอกลักษณ์มากเลยล่ะครับ"
การเคลื่อนไหวแบบไวติดจรวดช่วยให้ตัวละครตัวนี้มีความสำคัญมากขึ้นในเรื่องราวใหม่ แต่มีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ มนุษย์กลายพันธุ์อาศัยอยู่อย่างเปิดเผยในหมู่มนุษย์มาหนึ่งทศวรรษแล้ว แต่ควิกซิลเวอร์ก็ยังคงอาศัยอยู่ในห้องใต้ดินที่บ้านแม่เหมือนเดิม "เขาซึมเศร้าอยู่บ้าง" ปีเตอร์กล่าว "ห้องของปีเตอร์สะอาดขึ้นเล็กน้อย แต่เขาอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในการค้นหาคนที่เขาคิดว่าผูกพันด้วยเป็นพิเศษ"
โคดี้ สมิธ-แมคฟี (Rise of the Planet of the Apes) รับบทเป็นตัวละครนี้ นักแสดงหนุ่มรายนี้เชื่อว่าไนท์ครอว์เลอร์จะเป็นตัวละครที่ชนะใจผู้ชม "ลึก ๆ แล้วเคิร์ตเป็นคนที่ยึดมั่นในแบบแผน เบิกบาน ร่าเริง เกเร ขณะเดียวกันก็มีศรัทธาและเปราะบางด้วย" เขาอธิบาย
โรส เบิร์น กลับมารับบทเดิมที่เธอเล่นไว้ใน X Men: First Class เธอกล่าวว่าแม้มอยราจะสูญเสียความทรงจำ แต่ความผูกพันที่เธอมีต่อมนุษย์กลายพันธุ์ก็ยังคงแข็งแกร่ง "ในแง่หนึ่งมอยราก็เป็นคนนอกสังคม" เบิร์นกล่าว "เธอเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจและสนับสนุนมนุษย์กลายพันธุ์อย่างจริงจัง แต่การต่อสู้กับอะพอคคาลิปส์เป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกสำหรับเธอ" นักแสดงรายนี้ยังได้บอกใบ้ถึงการกลับมาสานสัมพันธ์กับชาร์ลส์อีกครั้งหนึ่งด้วย "เขาให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่มอยรา..." เธอบอกได้เพียงแค่นี้
โดย X-Men: Days of Future Past เป็นการกลับมาของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ ตั้งแต่เริ่มมีความเจริญเกิดขึ้น เขาได้รับความนับถือว่าเป็นเหมือนเทพเจ้า Apocalypse มนุษย์กลายพันธุ์ที่มีพลังแข็งแกร่งสุดในโลกของเอ็กซ์-เม็นจากมาร์เวล เขาได้รวบรวมพลังหลายอย่างจากมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นจนกลายเป็นอมตะและยากที่จะเอาชนะได้ เมื่อเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาหลังเวลาผ่านไปนับพันปี เขาได้จัดระบบโลกและค้นหาเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์เพื่อรวมทีมที่มีพลังขึ้นมา ซึ่งรวมถึง แม็กนีโต้ ที่กำลังหมดหวัง (ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์) เพื่อชำระล้างเหล่ามนุษย์และสร้างโลกใหม่ที่เขาจะเริ่มปกครอง ระหว่างที่ชะตากรรมของโลกแขวนอยู่บนความสมดุล ราเวน (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) จะช่วยศาสตราจารย์เอ็กซ์ (เจมส์ แม็คเอวอย) นำทีมเอ็กซ์-เม็นรุ่นใหม่ไปสยบความพ่ายแพ้ครั้งใหม่และช่วยปกป้องมนุษย์จากการทำลายล้างอย่างสิ้นซาก
ทั้งนี้ X-Men: Apocalypse เข้าฉายในบ้านเราเรียบร้อยแล้วในวันที่ 19 พฤษภาคม 2016 นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence), ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ (Michael Fassbender) และอีวาน ปีเตอร์ (Evan Peters) ร่วมด้วยทีมนักแสดงชุดใหม่อย่าง โอลิเวีย มุนน์ (Olivia Munn), ออสการ์ ไอแซค (Oscar Isaac) ในบท ไซล็อค และตัวร้าย อะพอคคาลิปส์ ส่วนโฉมหน้ายอดมนุษย์รุ่นเยาว์ที่ร่วมแสดงเป็นครั้งแรก ได้แก่ อเล็กซานดร้า ชิปป์ (Alexandra Shipp) ในบท สตอร์ม, ลาน่า คอนดอร์ (Lana Condor) ในบท จูบิลี่, โคดี้ สมิธ-แมคฟี (Kodi Smit-McPhee) ในบท ไนท์ครอวเลอร์, โซฟี เทอร์เนอร์ (Sophie Turner) ในบท จีน เกรย์ และไท เชอริแดน (Tye Sheridan) ในบท ไซคลอปส์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก X-Men Movies, เฟซบุ๊ก X-Men Movies Thailand, Marvel.com