
หนังดังในวงการสนัฟฟ์ฟิล์มที่หลาย ๆ คนอาจพอคุ้นหูหรือเคยเห็นผ่านตามาบ้าง อย่างเช่น Cannibal Holocaust เปรตเดินดินกินเนื้อคน, Faces of Death แอบดูเป็นแอบดูตาย, ซีรีส์ Guinea Pig ฯลฯ สำหรับหนังเหล่านี้ถึงดูแล้วจะจิตตก หดหู่ และชวนอ้วกขนาดไหน แต่อย่างน้อยคุณก็มั่นใจได้ว่า มันเป็นสนัฟฟ์ฟิล์มที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทำ หรือเรียกว่าเป็น "เฟคสนัฟฟ์ฟิล์ม" (Fake Snuff Film) เลือดเป็นเลือดเอฟเฟคท์ ส่วนท่าทางทรมานแสนสาหัสของเหยื่อนั้นก็เป็นแอ็คติ้งล้วน ๆ เป็นหนังที่ตั้งใจจำลองความโหดมาให้คนดูได้เห็นความวิปริตผิดมนุษย์ของตัวละคร เพราะที่ร้ายไปกว่านั้นคือหนังที่ขึ้นชื่อว่า "เรียลสนัฟฟ์ฟิล์ม" (Real Snuff Film) นั้นมีอยู่จริง เหยื่อคือคนจริง ๆ เจ็บจริง เลือดจริง และตายจริง ๆ มันคือหนังแห่งความตายของแท้
และนี่คือ 5 สนัฟฟ์ฟิล์มของแท้ในตำนาน ที่เราจะพาคุณไปรู้จัก ทำใจดี ๆ ก่อนแล้วมาอ่านไปพร้อม ๆ กันเลย
1. 3 คน 1 ค้อน (3 guys 1 hammer)
ชื่อของวัยรุ่นโหดเหล่านี้ คือ อิกอร์ ซูพรันยัค (Igor Suprunyuck), วิคเตอร์ ซาเยนโก (Viktor Sayenko) อเล็กซานเดอร์ ฮานซา (Alexander Hanzha) สองรายแรกถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ส่วนรายสุดท้ายซึ่งถอนตัวออกมากลางคัน ได้รับโทษจำคุก 9 ปี อันหมายความว่าเขากำลังจะพ้นโทษออกมาในปี 2018 ที่จะถึงนี้เอง
2. คดีของ ลูก้า แม็กน็อตต้า (Luka Magnotta)
คดีฆ่าหั่นศพฝีมือนายลูก้า แม็กน็อตต้า เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า 1 Lunatic 1 Ice Pick หรือ คนวิปลาสกับที่เซาะน้ำแข็ง เพราะมันเป็นอาวุธที่ใช้ในการสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็น ฆาตกรวิปลาสยังได้บันทึกวิดีโอขั้นตอนการสังหาร ที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม 2012 ในหอพักเมืองมอนทรีอัล ประเทศแคนาดา เอาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ที่เหยื่อถูกจับมัดมือเท้าและปิดตา ถูกกระหน่ำแทงด้วยเหล็กเซาะน้ำแข็งไม่ยั้งมือ ใช้มีดหั่นแยกชิ้นส่วนศพออก แม้แต่ตอนที่มีเซ็กส์กับศพ และตอนที่ใช้มีดกับส้อมเฉือนเนื้อจากบั้นท้ายศพกินอย่างไม่สะทกสะท้าน !!
ลูก้า แม็กน็อตต้า เป็นหนุ่มเกย์อดีตนักแสดงหนังโป๊ชาวแคนาดาวัย 32 ปี ผู้ลงมือสังหารวิปริต หลิน จุน นักศึกษาชายชาวจีนวัย 33 ปี ตามรายงานระบุว่าทั้งคู่เคยคบหากันมาก่อนที่ หลิน จุน จะขอเลิกราไป และในที่สุดก็มาพบจุดจบที่แสนอเนจอนาถ คลิปวิดีโอการสังหารยาวเกือบ 11 นาที ถูกโพสต์ลงในเว็บใต้ดินในวันถัดมา ด้วยชื่อคลิปว่า 1 Lunatic 1 Ice Pick
หลังจากรวบรวมหลักฐานและทำสำนวนคดีส่งฟ้องแล้ว กระบวนการไต่สวนนายแม็กน็อตต้าก็เริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2013 และสิ้นสุดลงเมื่อเดือนธันวาคม 2014 ที่ผ่านมา พร้อมคำตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนเป็นเวลา 25 ปี
ทั้งนี้ นอกจากคดีที่เกิดกับคนแล้ว ยังพบว่านายแม็กน็อตต้าถูกล่าตัวจากกลุ่มพิทักษ์สัตว์ด้วยเช่นกัน หลังเจ้าตัวเคยโพสต์วิดีโอฆ่าลูกแมว 2 ตัวลงในโลกออนไลน์ นับได้ว่าเป็นฆาตกรที่จิตใจวิปริตผิดมนุษย์มาแต่เดิมเลยจริง ๆ
ความวิปริตของการฆาตกรรมโหดนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเมเวสลงประกาศหาเหยื่อในโลกออนไลน์ และที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือมีเหยื่อมาเสนอตัวให้เขามากมาย แต่หนึ่งเดียวที่เมเวสติดต่อกลับไปคือ เบิร์นด์ เจอร์เก้น อาร์มันโด เบรนเดส หนุ่มวิศวกรวัยกลางคนที่อาสาขอตายตามประสงค์ของนายเมเวส
เมเวสกลับไปใช้ชีวิตปกติอีกหลายเดือน กว่าจะมีคนแจ้งตำรวจถึงเบาะแสของเขา หลังเจ้าตัวได้โพสต์หาเหยื่อเนื้อมนุษย์รายใหม่ ในการพิจารณาคดีมีการนำวิดีโอเทปชั่วโมงวิปริตเปิดประกอบการพิจารณาด้วย ก่อนที่เมเวสจะถูกตัดสินจำคุก 8 ปี ด้วยศาลเห็นว่าเหยื่อเต็มใจมาตายเอง แต่ต่อมามีการตัดสินใหม่เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเหยื่ออยู่ในสภาพที่จิตใจไม่ปกติ และยังเมามายจนสติไม่อยู่กับตัวในช่วงสุดท้ายของชีวิต ทำให้เมเวสกลายเป็นฆาตกรโรคจิตกินเนื้อคนไปอย่างสมบูรณ์แบบ และยังคงชดใช้สิ่งที่ตนกระทำอยู่หลังลูกกรงจนถึงบัดนี้
อ่านเพิ่มเติม เปิดคดีเปิบอำมหิตวิปริตมนุษย์กินคน อาร์มิน เมเวส
4. คู่โหด ชาร์ล อึ้ง และ เลียวนาร์ด เลค (Charles Ng and Leonard Lake)
คดีลักพาตัว ข่มขืน และฆาตกรรม ที่เกิดขึ้นโดยสองสหายจิตวิปริต ชาร์ล อึ้ง และ เลียวนาร์ด เลค นับเป็นอีกหนึ่งคดีสุดสะเทือนขวัญชาวอเมริกันและคนทั่วโลก ทั้งยังเป็นที่เชื่อกันว่าฆาตกรทั้งสองถ่ายคลิปวิดีโอขณะลงมือทรมานเหยื่อเอาไว้ เพื่อนำไปขายเป็นหนังให้พวกนิยมความรุนแรงเสพกันโดยเฉพาะ
วันที่ 2 มิถุนายน 1985 เจ้าของร้านค้าไม้และวัสดุก่อสร้างทางตอนใต้ซานฟรานซิสโก โทรแจ้งเบาะแสตำรวจให้มาจับกุมชายชาวเอเชียคนหนึ่งที่กำลังแอบขโมยสินค้าออกไปจากร้าน แต่เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ กลับไม่พบหัวขโมยชายเอเชียคนดังกล่าว แต่พบชายวัยกลางคนหนวดเคราเฟิ้มนั่งอยู่ในรถ เมื่อขอตรวจสอบก็พบว่าชายผู้นี้ครอบครองปืนพร้อมที่เก็บเสียงไว้ แถมรถยังมีรอยกระสุนกับคราบเลือดอีกต่างหาก ส่วนชื่อที่เขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า "โรบิน สแตปลีย์" แม้จะตรงกับชื่อเจ้าของรถและมีใบขับขี่ที่ถูกต้องมาแสดง แต่กลับปรากฏว่าหน้าตาเขาดูแก่กว่าอายุ 26 ปี ที่ระบุไว้ในบัตรมาก เขาจึงถูกควบคุมตัวทันที ในข้อหาครอบครองที่เก็บเสียงปืน และเป็นบุคคลน่าสงสัย
ทว่าระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยผู้ต้องสงสัยรายนี้ห่างสายตาไปเพียงชั่วครู่ ชายเคราเฟิ้มก็ควักไซยาไนด์ที่พกติดตัวกลืนลงคอ ส่งผลให้อาการสาหัสขั้นโคมาจนต้องหามส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แต่สุดท้ายเสียชีวิตในอีก 4 วันต่อมา พร้อมข้อมูลเจ้าหน้าที่เพิ่งได้จากการตรวจสอบพบว่า ชื่อ โรบิน สแตปลีย์ นั้นตรงกับชื่อที่ได้รับรายงานแจ้งคนหายและรถถูกขโมย ส่วนชายเคราเฟิ้มที่ปลิดชีพตนเองไป แท้จริงมีชื่อจริงว่า "เลียวนาร์ด เลค" ต่างหาก
จากการสืบประวัติย้อนหลังพบว่าเลียวนาร์ดเคยต้องโทษจำคุกจากคดีขโมยรถมาแล้วก่อนหน้า การที่คนแบบนี้จะมากลัวความผิดจากข้อหาครอบครองที่เก็บเสียงปืนกับเป็นบุคคลต้องสงสัย จนถึงขั้นชิงฆ่าตัวตาย จึงกลายเป็นสิ่งผิดปกติขึ้นมา ประเด็นนี้ได้สะกิดให้ตำรวจเริ่มขุดคุ้ยต่อ โดยได้เบาะแสจากบิลค่าไฟที่พบภายในรถ ระบุชื่อ นางคลาราลิน บาลาสซ์ ในเมืองวิลซีย์วิลล์ แคลิฟอร์เนีย
เมื่อตำรวจเข้าตรวจค้นก็พบร่องรอยการทารุณมากมาย ทั้งในบ้านโรงนาและในบังเกอร์เล็ก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นตรงเนินเขาใกล้ ๆ กัน ที่ซึ่งเอาไว้กักขังและทรมานเหยื่อที่จับตัวมา ในห้องนอนใหญ่ ตำรวจพบรอยเลือดกระเซ็นบนฝ้า รอยกระสุนที่ผนัง เตียงมีเสาที่มีเชือกผูกระโยงระยาง เศษชุดชั้นในเปื้อนเลือด อุปกรณ์อัดและก็อปปี้วิดีโอเทป และได้พบกับม้วนเทปหลักฐานบันทึกภาพ เลียวนาร์ด เลค และชาร์ลส์ อึ้ง กับเหยื่อของพวกเขา มีชุดหนึ่งที่เลียวนาร์ดพูดถึงการใช้ผู้หญิงเป็นคนใช้และทาสบำเรอกาม นอกจากนี้ยังได้พบสมุดบันทึกของชาร์ลส์ที่เขียนบรรยายถึงขั้นตอนการลักพาตัว ข่มขืน ทรมาน และสังหารเหยื่อเอาไว้ เป็นหลักฐานที่บ่งถึงจิตใจอันไม่ปกติของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
ที่สุดแล้วเมื่อได้สำรวจทั่วทั้งบริเวณ ก็ได้พบหลุมศพที่ขุดฝังหยาบ ๆ 11 หลุม กับเศษกระดูกที่ถูกเผาไหม้ทิ้งไว้ในคูน้ำอีก 45 ชิ้นส่วน ทำให้พอสันนิษฐานได้หยาบ ๆ ว่า เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่สังเวยชีวิตไปในที่แห่งนี้น่าจะอยู่ระหว่าง 11-25 คน
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ชาร์ลส์ อึ้ง ผู้ร่วมก่อเหตุชาวเอเชียพื้นเพจากฮ่องกง ซึ่งไหวตัวหนีไปตั้งแต่ที่ร้านค้าไม้และวัสดุก่อสร้าง ก็หลบหนีไปอยู่ที่เมืองคัลการี รัฐอัลเบอร์ตาของแคนาดา เก็บตัวเงียบไร้เบาะแสอยู่ร่วมเดือน ก่อนที่ทางการสหรัฐฯ จะรับรู้ความเคลื่อนไหว เมื่อชาร์ลส์ถูกตำรวจแคนาดาจับฐานลักขโมยของและยิงทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการจับกุม ส่งผลให้ได้รับโทษจำคุก 4 ปีครึ่ง ในระหว่างนั้นสหรัฐฯ พยายามทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากแคนาดาซึ่งได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว โดยให้เหตุผลตามหลักมนุษยธรรมว่า หากส่งตัวชาร์ลส์ อึ้ง กลับไปดำเนินคดี เขาอาจต้องรับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ขณะที่ชาร์ลส์ก็ฉลาดพอที่จะบอกกับแคนาดาว่า เขามีส่วนร่วมในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องตามที่ถูกกล่าวหาจริง แต่เป็นเพียงผู้ขุดฝังและทำลายศพเท่านั้น
กระบวนทางกฎหมายเพื่อดึงตัว ชาร์ล อึ้ง กลับมาดำเนินคดีในแผ่นดินสหรัฐฯ ยืดเยื้ออยู่ถึง 6 ปี จนในที่สุด ปี 1991 วายร้ายชาวฮ่องกงสัญชาติอเมริกันรายนี้ก็ถูกส่งตัวกลับมาขึ้นศาลแคลิฟอร์เนีย แต่กระบวนการไต่สวน การสอบพยานและหลักฐานก็ยืดยาวกินเวลาอีกถึง 7 ปี กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขาคือฆาตกรผู้เหี้ยมโหด และในเดือนกรกฎาคม 1999 ก็ถูกตัดสินโดยคณะลูกขุนให้รับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ปัจจุบัน ชาร์ลส์ อึ้ง ยังคงถูกคุมขังที่คุกประจำรัฐเพื่อรอการลงโทษ
จำนวนเหยื่อที่อาจมากถึง 25 ชีวิตนั้น ถูกฆาตกรรมในช่วงเวลาระหว่างปี 1983-1985 เลียวนาร์ดและชาร์ล พุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ก็ไม่ลังเลหากจะจับมาทั้งครอบครัว แล้วค่อยฆ่าผู้ชายกับเด็กไปให้พ้นทาง ในบรรดาเหยื่อเท่าที่ทราบชื่อ พบว่ามีเหยื่อที่เป็นพ่อแม่ลูกถึง 2 ครอบครัว พ่อและลูกน้อยถูกฆ่า ส่วนแม่ถูกจับไปข่มขืนทรมาน และเมื่อลงมือจนหนำใจ ผู้หญิงก็จะถูกฆ่าด้วยการรัดคอหรือยิงทิ้ง นอกจากนี้ในบรรดาเหยื่อทั้งหมดยังมีผู้ชายที่ถูกลวงมาฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ และอาศัยชื่อเหยื่อปลอมตัวเป็นคนคนนั้นแทนด้วย
แต่อย่างไรก็ตามแม้ เลียวนาร์ด เลค และ ชาร์ลส์ อึ้ง จะเป็นฆาตกรฆ่านับสิบศพ แต่ภาพจากวิดีโอที่ได้พบกลับไม่มีเหตุการณ์ใดที่ถ่ายทำขณะกำลังข่มขืนหรือทรมานเหยื่อชัด ๆ เลย มีแต่ช่วงที่กำลังข่มขู่ให้เหยื่อกลัว ส่วนกระแสที่ว่าทั้งคู่ขายวิดีโอให้ตลาดมืดนั้น ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจนถึงทุกวันนี้
5. คดีโหดของคู่รักวิปริต พอล เบอร์นาโด กับ คาร์ลา โฮมอลกา (Paul Bernardo and Karla Homolka)
เบอร์นาโดและโฮมอลกาเริ่มทำความรู้จักกันในปี 1987 และเป็นโฮมอลกาเสียด้วยซ้ำที่คอยหนุนหลังให้รสนิยมทางเพศแบบซาดิสต์ของเขา ช่วงก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกันในปี 1990 เบอร์นาโดเคยก่อเหตุทั้งสะกดรอย ทำร้ายร่างกาย และข่มขืนหญิงสาวมากกว่า 10 ราย จนกลายเป็นที่หวาดเกรงของผู้คนในย่านสการ์โบโรห์ ของเมืองโตรอนโต และเรียกเหตุการณ์ทำมิดีมิร้ายหญิงสาวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นว่า The Scarborough Rapist เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยในทันที จนกระทั่งปี 1992 ที่เจ้าหน้าที่เริ่มลงมือตรวจสอบตัวอย่างดีเอ็นเอที่เบอร์นาโดเคยให้ไว้นานแล้ว จนได้พบว่าตรงกับตัวอย่างดีเอ็นเอต้องสงสัยจากร่างเหยื่อ จากนั้นจึงออกหมายจับเบอร์นาโดในทันที
และช่างเป็นช่วงเวลาพอเหมาะพอดีกับที่ความสัมพันธ์ระหว่างเบอร์นาโดและโฮมอลกาเริ่มระหองระแหง หลังจากฝ่ายหญิงผู้เคยร่วมลงมือก่อเหตุวิปริตกลับตกเป็นเหยื่อถูกใช้กำลังเสียเอง นางโฮมอลกาถูกสามีตบตีอย่างรุนแรง ทว่าเปลือกนอกที่ดูน่าสงสารได้กลายเป็นเกราะป้องกันตัวให้เธอ โฮมอลกาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี แฉทุกความเลวทรามที่สามีเคยกระทำ แม้การพิจารณาคดีที่ในปี 1993 ศาลได้พบว่าโฮมอลกามีความผิดร่วม เธอยอมรับแต่ระบุว่าถูกเบอร์นาโดบังคับขู่เข็ญให้ทำ ทำให้ได้รับการลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 12 ปี ในขณะที่เบอร์นาโดนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเป็นบทลงโทษรุนแรงที่สุดเท่าที่แคนาดามี
เหยื่อรายแรกของในการลงมือฆ่าข่มขืนอย่างวิปริตของสองสามีภรรยา คือ แทมมี่ โฮมอลกา (Tammy Homolka) เด็กสาววัย 15 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของ นางคาร์ลา โฮมอลกาเอง เรื่องเริ่มต้นขึ้นในปี 1990 หลังจากที่เบอร์นาโดเริ่มสนิทสนมกับครอบครัวโฮมอลกา แม้ว่าจะคบหาอยู่กับคาร์ลา แต่เบอร์นาโดก็แสดงความสนอกสนใจในตัวแทมมี่อย่างไม่คิดจะปิดปังแฟนสาวแต่อย่างใด ถึงกับลอบเข้าไปช่วยตัวเองในห้องเด็กสาวขณะที่แทมมี่กำลังนอนหลับ โดยมีคาร์ลาเป็นฝ่ายเปิดหน้าต่างห้องนอนแทมมี่เพื่อเชื้อเชิญเขาเข้ามา
เหตุการณ์ได้ก้าวล้ำไปสู่การลอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาวในวันที่ 24 กรกฎาคม 1990 เมื่อคาร์ลาลอบผสมแวเลียม ยานอนหลับที่เธอขโมยมาจากคลินิกรักษาสัตว์ที่ตนเองทำงานอยู่ ลงไปในอาหารมื้อค่ำของน้องสาว จากนั้นเปิดทางให้เบอร์นาโดเข้ามาลักหลับแทมมี่ที่หลับไหลไม่ได้สติ ในขณะที่ตัวเธอเองก็นั่งดูอยู่ด้วย
และแล้วในวันที่ 23 ธันวาคม 1990 ทั้งคู่ก็ลงมืออีกครั้ง และกลายเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแทมมี่ คู่รักวิปริตแอบผสมยานอนหลับในเครื่องดื่มให้เด็กสาวกิน จนเมื่อเธอสลบไปก็ยังใช้เศษผ้าชุบยาสลบฮาโลเทนโปะเข้าให้ที่หน้าของเธออีก อันเป็นผลให้ใบหน้าของแทมมี่มีรอยเบิร์นจากสารเคมีปรากฏอยู่ คาร์ลาให้การในภายหลังว่า ที่เธอลงมือในวันนั้น เพราะต้องการมอบความบริสุทธิ์ของน้องสาวเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับคนรัก ในขณะที่พ่อแม่ของแทมมี่หลับอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน ร่างที่ไม่ได้สติของเด็กสาวถูกพี่สาวแท้ ๆ และแฟนหนุ่มผลัดกันกระทำชำเราอย่างหนำใจอยู่ในห้องใต้ดิน ช่วงเวลาหฤหรรษ์สุดวิปริตถูกบันทึกเอาไว้ด้วยกล้องวิดีโอ จนกระทั่งเด็กสาวสำลักอาเจียนอย่างหนัก ชั่วโมงยามแห่งความบ้าคลั่งจึงสิ้นสุดลง
เลสลี่ มาฮาฟฟี่
เด็กหญิงเลสลี่ มาฮาฟฟี่ (Leslie Mahaffy) วัยเพียง 14 ปี เป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดของสามีภรรยาคู่นี้ สาวน้อยมีอันต้องเตร่อยู่นอกบ้านในเมืองเบอร์ลิงตัน ของรัฐออนตาริโอ ในช่วงรุ่งสางของวันที่ 15 มิถุนายน 1991 และบังเอิญพบกับเบอร์นาโดที่ขับรถผ่านมาพอดี เด็กสาวถูกลักตัวขึ้นรถไป โดยถูกมัดปิดตาไปตลอดทางที่เบอร์นาโดขับรถกลับไปยังที่พักในเมืองพอร์ตดัลฮูซี่ เพื่อบอกข่าวน่าตื่นเต้นกับภรรยาว่าเขาได้เพื่อนเล่นคนใหม่กลับมาด้วย
ทั้งคู่ผลัดกันถ่ายวิดีโอเทปบันทึกตนเองขณะทรมานและกระทำชำเราเด็กหญิง ตาของเธอยังคงถูกปิด และมือถูกมัดไว้ด้วยกันขณะที่เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกเบอร์นาโดรุกล้ำเข้าทางทวารหนัก ในวันต่อมาเด็กหญิงก็พบจุดจบของตัวเอง ซึ่งตามคำให้การของเบอร์นาโดอ้างว่า โฮมอลกาให้เธอกินยานอนหลับฮาลเซียนขนานใหญ่ ในขณะที่โฮมอลกาอ้างว่า เบอร์นาโดเป็นผู้สังหารเด็กหญิงด้วยการรัดคอ แล้วปล่อยศพเธอไว้ในห้องใต้ดิน รุ่งขึ้นอีกวันพ่อแม่และน้องสาวอีกคนหนึ่งที่เหลือได้มารับประทานอาหารที่บ้าน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นปกติราวกับไม่เคยมีใครตายที่บ้านหลังนี้มาก่อน
หลังจากครอบครัวโฮมอลกากลับไป สองสามีภรรยาก็ลงมือกำจัดศพทำลายหลักฐาน และนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ลงมือหั่นศพ ร่างไร้ลมหายใจของเด็กสาวถูกเบอร์นาโดแยกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยเลื่อยวงเดือน จากนั้นโบกทับด้วยซีเมนต์ แล้วตระเวนนำไปโยนทิ้งตามจุดต่าง ๆ ของทะเลสาบกิปสัน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักที่ทั้งคู่ไปราว 18 กิโลเมตร
จนกระทั่งวันที่ 29 มิถุนายน 1991 ชิ้นส่วนบล็อกหนึ่งก็ถูกพบโดยนักตกปลาสองพ่อลูก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นชิ้นส่วนร่างกายของเด็กหญิงเลสลี่ มาฮาฟฟี่หลังพบว่าวัสดุทำฟันที่พบในก้อนปูนนั้นตรงกับประวัติการทำฟันของเธอ
คริสเตน เฟรนช์
เหยื่อรายสุดท้ายของคู่รักฆาตกรโหด คือเด็กสาววัย 15 ปี คริสเตน เฟรนช์ (Christen French) ในช่วงบ่ายวันที่ 16 เมษายน 1992 หนึ่งวันก่อนจะถึงเทศกาลอีสเตอร์ เฟรนช์กำลังเดินจากโรงเรียนกลับบ้านที่อยู่ใกล้กันในเมืองเซนต์แคเธอรีนตามปกติ แต่โชคไม่เข้าข้างนักเมื่อเธอตกเป็นเป้าของเบอร์นาโดและโฮมอลกา ที่กำลังขับรถตระเวนหาเหยื่อรายใหม่ โฮมอลกาถือแผนที่ไว้ในมือ ทำทีเป็นจะเข้าไปถามทางขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อประชิดถึงตัวเด็กสาวแล้วก็ชักมีดขึ้นมาจ่อ แล้วจี้ให้เธอให้ขึ้นรถไปด้วยกัน
ชะตากรรมหลังจากนั้นของเด็กสาวไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น 3 วันเต็ม ๆ เธอถูกทรมานร่างกายสารพัด ถูกบังคับดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากแล้วให้ทำตัวเป็นทาสบำเรอกามของเบอร์นาโด เด็กสาวถูกบังคับข่มขืนทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง มีการบันทึกวิดีโอเทปเอาไว้อย่างเคย แต่คราวนี้ไม่มีการผูกตาเหยื่อ ราวกับทั้งคู่ไม่สนใจว่าเฟรชน์จะจดจำใบหน้าของพวกเขาได้
ในวันถัดมา เด็กสาวที่ร่างกายบอบช้ำยับเยินก็ถูกปลิดชีพ ตามคำให้การของโฮมอลการะบุว่า เบอร์นาโดได้รัดคอเธอนาน 7 นาทีจนถึงแก่ความตาย ในขณะที่ฝ่ายเบอร์นาโดระบุว่า ผู้ลงมือฆ่าเด็กสาวรายนี้คือโฮมอลกา เธอทุบเด็กสาวด้วยค้อนยางหลังพบว่าเฟรนช์พยายามหลบหนี ก่อนจะใช้เชือกห่วงรัดคอเธอแล้วโยงไว้กับหีบเก็บของ จนในที่สุดเด็กสาวก็ขาดใจตาย หลังจากนั้นทั้งคู่ซ่อนศพไว้ที่ห้องใต้ดิน แล้วออกไปกินเลี้ยงฉลองวันอีสเตอร์ที่บ้านครอบครัวของนางโฮมอลกาตามปกติ
ในช่วงปลายเดือนเมษายนนั้น ศพของ คริสเตน เฟรนช์ ก็ถูกพบในคูน้ำในเมืองเบอร์ลิงตัน ซึ่งอยู่ข้างเคียงเมืองเซนต์แคเธอรีนที่เด็กสาวถูกลักพาตัวไป ร่างไร้วิญญาณของเธอขึ้นอืดลอยติดฝั่งในสภาพผมบางส่วนถูกตัดออก ในเบื้องต้นคาดการว่าผัวเมียคู่นี้อาจตัดผมเธอเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่โฮมอลกาได้สารภาพในเวลาต่อมาว่า เธอจงใจตัดผมเหยื่อออกเพื่อไม่ให้มีคนจดจำเด็กสาวได้
เจน โด เหยื่อกามวิปริตที่รอดชีวิต
นอกจากเหยื่อทั้งสามรายข้างต้นที่ถูกกระทำชำเราและเสียชีวิตด้วยน้ำมือของทั้งคู่แล้ว ยังมีเด็กสาวอีกหนึ่งคนที่ตกเป็นเหยื่อ ในกระบวนไต่สวนศาลได้ให้ชื่อสมมุติเธอว่า "เจน โด" (Jane Doe) เพื่อปกปิดตัวตนและสถานะของเธอ
เจน โด มีอายุ 15 ปี ตอนที่เกิดเหตุ โฮมอลกาได้ตีสนิทกับสาวน้อยตั้งแต่ตนทำงานอยู่ที่คลินิกรักษาสัตว์ ในวันที่ 7 มิถุนายน 1991 โฮมอลกาได้ชวนเด็กสาวไปปาร์ตี้กัน และหลังจากนั้นก็ลอบผสมยานอนหลับฮาลเซียนลงในเครื่องดื่มของเธอ แล้วพาร่างที่ไม่ได้สติกลับมายังพัก บอกเบอร์นาโดว่า "นี่คือของขวัญวันแต่งงาน" สองสามีภรรยาเปลือยร่างของเด็กสาวแล้วลงมือกระทำชำเรา ทั้งคู่บันทึกเทปชั่วโมงหฤหรรษ์อันวิปริตไว้อย่างเคย ในรุ่งเช้าของอีกวันเด็กสาวก็ฟื้นคืนสติ ทว่าเจ้าตัวกลับจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง คิดเพียงว่าตนอาเจียนอย่างหนักเพราะเพิ่งเคยดื่มเหล้าเป็นครั้งแรก
เจนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้น โฮมอลกาก็ชวนเธอมาค้างคืนที่บ้าน เด็กสาวหลงไปโดยไม่รู้ทันเจตนาร้าย และแล้วก็ถูกวางยาและถูกข่มขืนอีกครั้ง ทว่าระหว่างนั้นเจน โด หยุดหายใจ โฮมอลกาจึงตัดสินใจโทรแจ้ง 911 แต่เพียงอีกไม่กี่นาทีให้หลังก็โทรกลับไปแจ้งใหม่ว่าเหตุการณ์ปกติดีแล้ว ไม่ต้องส่งรถพยาบาลมา และเรื่องราวก็เงียบหายไป จนกระทั่งถูกรื้อขึ้นมาเมื่อทั้งคู่ถูกจับกุมและให้ปากคำ
ในปัจจุบันนี้ นางโฮมอลกาพ้นโทษออกจากเรือนจำมาแล้วตั้งแต่ปี 2005 เธอได้แต่งงานใหม่ มีลูก เปลี่ยนชื่อเป็น ลีแอนน์ บอร์เดอเลส (Leanne Bordelais) และย้ายไปอยู่ที่เกาะกัวเดอลูป ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ในทะเลแคริบเบียน ส่วนเบอร์นาโด ยังรับกรรมต่อสิ่งที่เขาทำอยู่ในเรือนจำไปจนชั่วชีวิต