ใจไม่แข็งอย่าดู ! SNUFF FILM หนังใต้ดินสุดเถื่อน ฆ่าจริง ตายจริง ไม่มีเอฟเฟกต์




          คอหนังสยองขวัญคงจะเคยได้ยินคำว่า "สนัฟฟ์ฟิล์ม" (Snuff Film) กันมาบ้าง แต่ไม่รู้จะมีกี่คนที่สรรหาหนังประเภทที่ว่านี้มาดู เพราะนอกจาก "สนัฟฟ์ฟิล์ม" จะเป็นหนังแสนอินดี้และโคตรใต้ดินที่ไม่ได้หาดูกันง่าย ๆ แล้ว มันยังเป็นหนังแห่งความตายที่มีเนื้อหาทารุณซาดิสต์ชวนอ้วกอีกต่างหาก เมื่อเนื้อเรื่องหลักของหนังคือการจับคนมาฆ่า ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยที่ทำให้สนัฟฟ์ฟิล์มแต่ละเรื่องโหดมากน้อยแตกต่างกันไป ก็คือวิธีการปลิดชีพเหยื่อผู้น่าสงสาร อันมีตั้งแต่การฆ่าโหดอย่างซาดิสต์ ไปจนถึงค่อย ๆ ทรมานให้ตายอย่างช้า ๆ ด้วยความวิปริตรุนแรงของเนื้อหาทำให้สนัฟฟ์ฟิล์มขึ้นชื่อว่าเป็นหนังต้องห้ามอย่างไร้ข้อกังขา

          หนังดังในวงการสนัฟฟ์ฟิล์มที่หลาย ๆ คนอาจพอคุ้นหูหรือเคยเห็นผ่านตามาบ้าง อย่างเช่น Cannibal Holocaust เปรตเดินดินกินเนื้อคน, Faces of Death แอบดูเป็นแอบดูตาย, ซีรีส์ Guinea Pig ฯลฯ สำหรับหนังเหล่านี้ถึงดูแล้วจะจิตตก หดหู่ และชวนอ้วกขนาดไหน แต่อย่างน้อยคุณก็มั่นใจได้ว่า มันเป็นสนัฟฟ์ฟิล์มที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทำ หรือเรียกว่าเป็น "เฟคสนัฟฟ์ฟิล์ม" (Fake Snuff Film) เลือดเป็นเลือดเอฟเฟคท์ ส่วนท่าทางทรมานแสนสาหัสของเหยื่อนั้นก็เป็นแอ็คติ้งล้วน ๆ เป็นหนังที่ตั้งใจจำลองความโหดมาให้คนดูได้เห็นความวิปริตผิดมนุษย์ของตัวละคร เพราะที่ร้ายไปกว่านั้นคือหนังที่ขึ้นชื่อว่า "เรียลสนัฟฟ์ฟิล์ม" (Real Snuff Film) นั้นมีอยู่จริง เหยื่อคือคนจริง ๆ เจ็บจริง เลือดจริง และตายจริง ๆ มันคือหนังแห่งความตายของแท้

          และนี่คือ 5 สนัฟฟ์ฟิล์มของแท้ในตำนาน ที่เราจะพาคุณไปรู้จัก ทำใจดี ๆ ก่อนแล้วมาอ่านไปพร้อม ๆ กันเลย

1. 3 คน 1 ค้อน (3 guys 1 hammer)


ภาพจาก Wikipedia

          คดี 3 คน 1 ค้อน (3 guys 1 hammer) หรือที่รู้จักในอีกชื่อว่า Dnepropetrovsk Maniacs คนคลั่งแห่ง ดนีโปรเปตรอฟสค์ เป็นสนัฟฟ์ฟิล์มสุดเหี้ยมชื่อเสียงลือลั่นวงการหนังโหดใต้ดิน เหตุเกิดขึ้นที่เมืองดนีโปรเปตรอฟสค์ ของยูเครน โดยคนร้ายคือกลุ่มวัยรุ่นชายวัย 19 จากครอบครัวฐานะดี 3 คน ที่รวมตัวกันด้วยจิตใจอันวิปริตและก่อการที่ทำให้คนทั้งเมืองหวาดผวา ในชั่วระยะเวลาเพียงเดือนเดียวพวกเขาตระเวนล่าเหยื่อมาสังหารไปถึง 21 ราย

          ในตอนแรกทั้งหมดเริ่มจากการทรมานแมวแล้วฆ่า แต่ดูเหมือนจะยังไม่สะใจพอ จึงเบนเป้าหมายมาทำกับคนด้วยกัน เหยื่อรายแรก ๆ ถูกทุบด้วยคันเบ็ดตกปลา แต่ดูจะใช้เวลานานเกินไปกว่าเหยื่อจะสิ้นใจ เหล่าวัยรุ่นจึงได้เปลี่ยนมาใช้ค้อนทุบ และใช้ไขควงทิ่มแทงร่างของเหยื่อแทน ขั้นตอนการทรมานและสังหารเหยื่อแต่ละรายถูกบันทึกวิดีโอไว้ รวมทั้งเก็บเป็นภาพถ่าย นอกจากนี้ทั้งสามยังแฝงตัวไปร่วมงานศพของเหยื่อ และมักถ่ายรูปชูนิ้วกลางคู่กับหลุมฝังศพของเหยื่อเก็บไว้ด้วย 

          วิดีโอสังหารโหดชุดหนึ่งถูกเผยแพร่ลงในออนไลน์ และกลายเป็นหลักฐานความโหดเหี้ยมให้เราได้ประจักษ์จนถึงทุกวันนี้ว่าเหตุการณ์วิปริตแบบนี้เคยเกิดขึ้นจริง เหยื่อชะตาขาดถูกกระหน่ำทุบด้วยค้อนเข้าไปที่ศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าจนขาดใจ จากนั้นวิธีการเล่นกับศพอันวิปลาสก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการใช้ไขควงทิ่มทะลวงเข้าไปที่ร่างไร้วิญญาณรูแล้วรูเล่า ไม่เว้นแม้แต่แทงเสียบเข้าไปที่เบ้าตา แล้วยังคุยว่ารู้สึกได้ถึงสมองที่ยังเต้นตุบ ๆ อยู่ในหัวกะโหลก 

          ในช่วงที่การสังหารดำเนินไป วัยรุ่นรายหนึ่งได้ถอนตัวออกมา เหลือเพียง 2 คนที่ยังเดินหน้าล่าเหยื่อเป็นฆาตกรต่อเนื่อง และในที่สุดทั้งหมดก็ถูกจับกุมได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 พร้อมหลักฐานคือไฟล์วิดีโอบันทึกการสังหารเหยื่อ 21 ราย และรูปถ่ายเหยื่ออีกกว่า 300 ใบ ทั้งสามให้การสารภาพต่อทุกการกระทำ พร้อมบอกวิธีเลือกเหยื่อว่ามาจากการสุ่มเอาจากคนที่ดูไม่มีทางสู้ และจริงตั้งใจจะถ่ายให้ได้สัก 40 ราย แล้วนำไปขายให้เว็บใต้ดินเพื่อเอาเงิน แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อและคิดว่าวัยรุ่นพวกนี้น่าจะฆ่าเป็นงานอดิเรกแล้วถ่ายทำฉากปลิดชีพเหล่านี้เพื่อเอาเก็บไว้ดูในภายหลังมากกว่า 

          ชื่อของวัยรุ่นโหดเหล่านี้ คือ อิกอร์ ซูพรันยัค (Igor Suprunyuck), วิคเตอร์ ซาเยนโก (Viktor Sayenko) อเล็กซานเดอร์ ฮานซา (Alexander Hanzha) สองรายแรกถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ส่วนรายสุดท้ายซึ่งถอนตัวออกมากลางคัน ได้รับโทษจำคุก 9 ปี อันหมายความว่าเขากำลังจะพ้นโทษออกมาในปี 2018 ที่จะถึงนี้เอง  


2. คดีของ ลูก้า แม็กน็อตต้า (Luka Magnotta)


ภาพจาก Wikipedia

          คดีฆ่าหั่นศพฝีมือนายลูก้า แม็กน็อตต้า เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า 1 Lunatic 1 Ice Pick หรือ คนวิปลาสกับที่เซาะน้ำแข็ง เพราะมันเป็นอาวุธที่ใช้ในการสังหารเหยื่ออย่างเลือดเย็น ฆาตกรวิปลาสยังได้บันทึกวิดีโอขั้นตอนการสังหาร ที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 พฤษภาคม 2012 ในหอพักเมืองมอนทรีอัล ประเทศแคนาดา เอาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ที่เหยื่อถูกจับมัดมือเท้าและปิดตา ถูกกระหน่ำแทงด้วยเหล็กเซาะน้ำแข็งไม่ยั้งมือ ใช้มีดหั่นแยกชิ้นส่วนศพออก แม้แต่ตอนที่มีเซ็กส์กับศพ และตอนที่ใช้มีดกับส้อมเฉือนเนื้อจากบั้นท้ายศพกินอย่างไม่สะทกสะท้าน !! 

          ลูก้า แม็กน็อตต้า เป็นหนุ่มเกย์อดีตนักแสดงหนังโป๊ชาวแคนาดาวัย 32 ปี ผู้ลงมือสังหารวิปริต หลิน จุน นักศึกษาชายชาวจีนวัย 33 ปี ตามรายงานระบุว่าทั้งคู่เคยคบหากันมาก่อนที่ หลิน จุน จะขอเลิกราไป และในที่สุดก็มาพบจุดจบที่แสนอเนจอนาถ คลิปวิดีโอการสังหารยาวเกือบ 11 นาที ถูกโพสต์ลงในเว็บใต้ดินในวันถัดมา ด้วยชื่อคลิปว่า 1 Lunatic 1 Ice Pick 
          
          ชิ้นส่วนศพของหลิน จุน ถูกแยกใส่ห่อส่งไปยังสำนักงานพรรคการเมือง 2 พรรคของแคนาดา และโรงเรียนประถมอีก 2 แห่ง ท่ามกลางการประกาศตามล่าตัวนายแม็กน็อตต้าอย่างเร่งด่วน ซึ่งหลังเจ้าตัวก่อเหตุและแยกชิ้นส่วนศพทิ้งแล้ว ก็หนีออกจากแคนาดาไปยังปารีสทันที เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกระแสความร่วมมือจากนานาชาติเพื่อตามล่าตัวฆาตกรวิปริต และในที่สุด วันที่ 4 มิถุนายน 2012 ก็สามารถจับตัวนายแม็กน็อตต้าได้ที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่แห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลิน ขณะที่เจ้าตัวกำลังตามอ่านข่าวของตัวเอง

          หลังจากรวบรวมหลักฐานและทำสำนวนคดีส่งฟ้องแล้ว กระบวนการไต่สวนนายแม็กน็อตต้าก็เริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2013 และสิ้นสุดลงเมื่อเดือนธันวาคม 2014 ที่ผ่านมา พร้อมคำตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนเป็นเวลา 25 ปี 

          ทั้งนี้ นอกจากคดีที่เกิดกับคนแล้ว ยังพบว่านายแม็กน็อตต้าถูกล่าตัวจากกลุ่มพิทักษ์สัตว์ด้วยเช่นกัน หลังเจ้าตัวเคยโพสต์วิดีโอฆ่าลูกแมว 2 ตัวลงในโลกออนไลน์ นับได้ว่าเป็นฆาตกรที่จิตใจวิปริตผิดมนุษย์มาแต่เดิมเลยจริง ๆ 





ภาพจาก viralnova.com

          อีกหนึ่งตำนานกล่าวขานของเรียลสนัฟฟ์ฟิล์มสุดวิปริต คือคดีฆ่าเปิบเนื้อมนุษย์ของ "อาร์มิน เมเวส" ชายวัยกลางคนชาวเยอรมันที่ฆ่าแล้วกินเนื้อเหยื่อ ไม่มีใครทราบได้ว่าอะไรกันแน่ที่ดลใจให้นายเมเวสอยากจะลองลิ้มชิมรสเนื้อมนุษย์ด้วยกัน ขนาดตอนที่เขาถูกจับกุมได้ในปลายปี 2002 เจ้าหน้าที่ยังได้ของกลางเป็นเนื้อมนุษย์แช่แข็งยัดอยู่ในตู้เย็น มันเป็นเนื้อจากร่างของเหยื่อที่ถูกแล่ออกมากว่า 10 เดือนแล้ว และเก็บถนอมเก็บไว้ไว้เพื่อที่ตนจะได้มีวัตถุดิบเนื้อมนุษย์มาปรุงอาหารสร้างสรรค์เมนูได้ทุกเมื่อที่นึกอยาก 

          ความวิปริตของการฆาตกรรมโหดนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเมเวสลงประกาศหาเหยื่อในโลกออนไลน์ และที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือมีเหยื่อมาเสนอตัวให้เขามากมาย แต่หนึ่งเดียวที่เมเวสติดต่อกลับไปคือ เบิร์นด์ เจอร์เก้น อาร์มันโด เบรนเดส หนุ่มวิศวกรวัยกลางคนที่อาสาขอตายตามประสงค์ของนายเมเวส 

          เบรนเดสมาพบเมเวสที่บ้าน แล้วดื่มเหล้าย้อมใจกันอย่างหนัก ก่อนที่ชั่วโมงซาดิสต์จะเริ่มต้นขึ้น พร้อม ๆ กับที่เมเวสตั้งกล้องถ่ายวิดีโอการกระทำของตนไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเฉือนองคชาตของเหยื่อออกมาเคี้ยวกิน ไปจนถึงนาทีปลิดชีวิตด้วยมีดที่ทะลุคอหอย ปลดปล่อยวิญญาณที่เจ็บปวดให้หลุดลอยออกจากร่างไป ก่อนที่จะนำร่างของเหยื่อขึ้นแขวนห้อยหัวกับตะขอ สภาพคล้ายไม่ต่างจากโรงฆ่าสัตว์ แล้วลงมือชำแหละร่างนั้นอย่างบรรจง แล่เนื้อออกเป็นชิ้น ๆ จับแช่แข็งในตู้เย็น แม้แต่กระดูกก็ยังถูกนำมาป่นเป็นผงไว้ใช้ประกอบอาหาร 

          เมเวสกลับไปใช้ชีวิตปกติอีกหลายเดือน กว่าจะมีคนแจ้งตำรวจถึงเบาะแสของเขา หลังเจ้าตัวได้โพสต์หาเหยื่อเนื้อมนุษย์รายใหม่ ในการพิจารณาคดีมีการนำวิดีโอเทปชั่วโมงวิปริตเปิดประกอบการพิจารณาด้วย ก่อนที่เมเวสจะถูกตัดสินจำคุก 8 ปี ด้วยศาลเห็นว่าเหยื่อเต็มใจมาตายเอง แต่ต่อมามีการตัดสินใหม่เป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน เนื่องจากพิจารณาแล้วว่าเหยื่ออยู่ในสภาพที่จิตใจไม่ปกติ และยังเมามายจนสติไม่อยู่กับตัวในช่วงสุดท้ายของชีวิต ทำให้เมเวสกลายเป็นฆาตกรโรคจิตกินเนื้อคนไปอย่างสมบูรณ์แบบ และยังคงชดใช้สิ่งที่ตนกระทำอยู่หลังลูกกรงจนถึงบัดนี้ 



4. คู่โหด ชาร์ล อึ้ง และ เลียวนาร์ด เลค (Charles Ng and Leonard Lake)


ภาพจาก Criminal Minds Wiki

          คดีลักพาตัว ข่มขืน และฆาตกรรม ที่เกิดขึ้นโดยสองสหายจิตวิปริต ชาร์ล อึ้ง และ เลียวนาร์ด เลค นับเป็นอีกหนึ่งคดีสุดสะเทือนขวัญชาวอเมริกันและคนทั่วโลก ทั้งยังเป็นที่เชื่อกันว่าฆาตกรทั้งสองถ่ายคลิปวิดีโอขณะลงมือทรมานเหยื่อเอาไว้ เพื่อนำไปขายเป็นหนังให้พวกนิยมความรุนแรงเสพกันโดยเฉพาะ 

          วันที่ 2 มิถุนายน 1985 เจ้าของร้านค้าไม้และวัสดุก่อสร้างทางตอนใต้ซานฟรานซิสโก โทรแจ้งเบาะแสตำรวจให้มาจับกุมชายชาวเอเชียคนหนึ่งที่กำลังแอบขโมยสินค้าออกไปจากร้าน แต่เมื่อตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ กลับไม่พบหัวขโมยชายเอเชียคนดังกล่าว แต่พบชายวัยกลางคนหนวดเคราเฟิ้มนั่งอยู่ในรถ เมื่อขอตรวจสอบก็พบว่าชายผู้นี้ครอบครองปืนพร้อมที่เก็บเสียงไว้ แถมรถยังมีรอยกระสุนกับคราบเลือดอีกต่างหาก ส่วนชื่อที่เขาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า "โรบิน สแตปลีย์" แม้จะตรงกับชื่อเจ้าของรถและมีใบขับขี่ที่ถูกต้องมาแสดง แต่กลับปรากฏว่าหน้าตาเขาดูแก่กว่าอายุ 26 ปี ที่ระบุไว้ในบัตรมาก เขาจึงถูกควบคุมตัวทันที ในข้อหาครอบครองที่เก็บเสียงปืน และเป็นบุคคลน่าสงสัย 

          ทว่าระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยผู้ต้องสงสัยรายนี้ห่างสายตาไปเพียงชั่วครู่ ชายเคราเฟิ้มก็ควักไซยาไนด์ที่พกติดตัวกลืนลงคอ ส่งผลให้อาการสาหัสขั้นโคมาจนต้องหามส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน แต่สุดท้ายเสียชีวิตในอีก 4 วันต่อมา พร้อมข้อมูลเจ้าหน้าที่เพิ่งได้จากการตรวจสอบพบว่า ชื่อ โรบิน สแตปลีย์ นั้นตรงกับชื่อที่ได้รับรายงานแจ้งคนหายและรถถูกขโมย ส่วนชายเคราเฟิ้มที่ปลิดชีพตนเองไป แท้จริงมีชื่อจริงว่า "เลียวนาร์ด เลค" ต่างหาก  

          จากการสืบประวัติย้อนหลังพบว่าเลียวนาร์ดเคยต้องโทษจำคุกจากคดีขโมยรถมาแล้วก่อนหน้า การที่คนแบบนี้จะมากลัวความผิดจากข้อหาครอบครองที่เก็บเสียงปืนกับเป็นบุคคลต้องสงสัย จนถึงขั้นชิงฆ่าตัวตาย จึงกลายเป็นสิ่งผิดปกติขึ้นมา ประเด็นนี้ได้สะกิดให้ตำรวจเริ่มขุดคุ้ยต่อ โดยได้เบาะแสจากบิลค่าไฟที่พบภายในรถ ระบุชื่อ นางคลาราลิน บาลาสซ์ ในเมืองวิลซีย์วิลล์ แคลิฟอร์เนีย 

          เรื่องสยดสยองค่อย ๆ ถูกเปิดเผยทีละเปลาะ เมื่อเจ้าหน้าที่บุกเคาะประตูบ้านนางคลาราลิน ที่เจ้าตัวได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตเลียวนาร์ดและพร้อมให้การว่าเขาคือสามีของเธอ ส่วนที่อยู่ตามบิลค่าไฟนั้นเป็นบ้านโรงนาของครอบครัวเธอ สถานที่ซึ่งสามีมักใช้พบปะทำกิจกรรมกับเพื่อนชาวเอเชียที่ชื่อ "ชาร์ลส์ อึ้ง" อยู่บ่อย ๆ 

          เมื่อตำรวจเข้าตรวจค้นก็พบร่องรอยการทารุณมากมาย ทั้งในบ้านโรงนาและในบังเกอร์เล็ก ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นตรงเนินเขาใกล้ ๆ กัน ที่ซึ่งเอาไว้กักขังและทรมานเหยื่อที่จับตัวมา ในห้องนอนใหญ่ ตำรวจพบรอยเลือดกระเซ็นบนฝ้า รอยกระสุนที่ผนัง เตียงมีเสาที่มีเชือกผูกระโยงระยาง เศษชุดชั้นในเปื้อนเลือด อุปกรณ์อัดและก็อปปี้วิดีโอเทป และได้พบกับม้วนเทปหลักฐานบันทึกภาพ เลียวนาร์ด เลค และชาร์ลส์ อึ้ง กับเหยื่อของพวกเขา มีชุดหนึ่งที่เลียวนาร์ดพูดถึงการใช้ผู้หญิงเป็นคนใช้และทาสบำเรอกาม นอกจากนี้ยังได้พบสมุดบันทึกของชาร์ลส์ที่เขียนบรรยายถึงขั้นตอนการลักพาตัว ข่มขืน ทรมาน และสังหารเหยื่อเอาไว้ เป็นหลักฐานที่บ่งถึงจิตใจอันไม่ปกติของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี 

          ที่สุดแล้วเมื่อได้สำรวจทั่วทั้งบริเวณ ก็ได้พบหลุมศพที่ขุดฝังหยาบ ๆ 11 หลุม กับเศษกระดูกที่ถูกเผาไหม้ทิ้งไว้ในคูน้ำอีก 45 ชิ้นส่วน ทำให้พอสันนิษฐานได้หยาบ ๆ ว่า เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่สังเวยชีวิตไปในที่แห่งนี้น่าจะอยู่ระหว่าง 11-25 คน 

          ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ชาร์ลส์ อึ้ง ผู้ร่วมก่อเหตุชาวเอเชียพื้นเพจากฮ่องกง ซึ่งไหวตัวหนีไปตั้งแต่ที่ร้านค้าไม้และวัสดุก่อสร้าง ก็หลบหนีไปอยู่ที่เมืองคัลการี รัฐอัลเบอร์ตาของแคนาดา เก็บตัวเงียบไร้เบาะแสอยู่ร่วมเดือน ก่อนที่ทางการสหรัฐฯ จะรับรู้ความเคลื่อนไหว เมื่อชาร์ลส์ถูกตำรวจแคนาดาจับฐานลักขโมยของและยิงทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการจับกุม ส่งผลให้ได้รับโทษจำคุก 4 ปีครึ่ง ในระหว่างนั้นสหรัฐฯ พยายามทำเรื่องขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากแคนาดาซึ่งได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว โดยให้เหตุผลตามหลักมนุษยธรรมว่า หากส่งตัวชาร์ลส์ อึ้ง กลับไปดำเนินคดี เขาอาจต้องรับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ขณะที่ชาร์ลส์ก็ฉลาดพอที่จะบอกกับแคนาดาว่า เขามีส่วนร่วมในคดีฆาตกรรมต่อเนื่องตามที่ถูกกล่าวหาจริง แต่เป็นเพียงผู้ขุดฝังและทำลายศพเท่านั้น 

          กระบวนทางกฎหมายเพื่อดึงตัว ชาร์ล อึ้ง กลับมาดำเนินคดีในแผ่นดินสหรัฐฯ ยืดเยื้ออยู่ถึง 6 ปี จนในที่สุด ปี 1991 วายร้ายชาวฮ่องกงสัญชาติอเมริกันรายนี้ก็ถูกส่งตัวกลับมาขึ้นศาลแคลิฟอร์เนีย แต่กระบวนการไต่สวน การสอบพยานและหลักฐานก็ยืดยาวกินเวลาอีกถึง 7 ปี กว่าจะพิสูจน์ได้ว่าเขาคือฆาตกรผู้เหี้ยมโหด และในเดือนกรกฎาคม 1999 ก็ถูกตัดสินโดยคณะลูกขุนให้รับโทษสูงสุดคือประหารชีวิต ปัจจุบัน ชาร์ลส์ อึ้ง ยังคงถูกคุมขังที่คุกประจำรัฐเพื่อรอการลงโทษ 

เหยื่อของคู่หูวิปริต 

          จำนวนเหยื่อที่อาจมากถึง 25 ชีวิตนั้น ถูกฆาตกรรมในช่วงเวลาระหว่างปี 1983-1985 เลียวนาร์ดและชาร์ล พุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ก็ไม่ลังเลหากจะจับมาทั้งครอบครัว แล้วค่อยฆ่าผู้ชายกับเด็กไปให้พ้นทาง ในบรรดาเหยื่อเท่าที่ทราบชื่อ พบว่ามีเหยื่อที่เป็นพ่อแม่ลูกถึง 2 ครอบครัว พ่อและลูกน้อยถูกฆ่า ส่วนแม่ถูกจับไปข่มขืนทรมาน และเมื่อลงมือจนหนำใจ ผู้หญิงก็จะถูกฆ่าด้วยการรัดคอหรือยิงทิ้ง นอกจากนี้ในบรรดาเหยื่อทั้งหมดยังมีผู้ชายที่ถูกลวงมาฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ และอาศัยชื่อเหยื่อปลอมตัวเป็นคนคนนั้นแทนด้วย 

          แต่อย่างไรก็ตามแม้ เลียวนาร์ด เลค และ ชาร์ลส์ อึ้ง จะเป็นฆาตกรฆ่านับสิบศพ แต่ภาพจากวิดีโอที่ได้พบกลับไม่มีเหตุการณ์ใดที่ถ่ายทำขณะกำลังข่มขืนหรือทรมานเหยื่อชัด ๆ เลย มีแต่ช่วงที่กำลังข่มขู่ให้เหยื่อกลัว ส่วนกระแสที่ว่าทั้งคู่ขายวิดีโอให้ตลาดมืดนั้น ก็ยังไม่ได้รับการยืนยันจนถึงทุกวันนี้ 


5. คดีโหดของคู่รักวิปริต พอล เบอร์นาโด กับ คาร์ลา โฮมอลกา (Paul Bernardo and Karla Homolka)


ภาพจาก Criminal Minds Wiki

          คดีฆ่าวิปริตยกกำลังสองของคู่รัก พอล เบอร์นาโด และ คาร์ลา โฮมอลกา เป็นที่หวาดหวั่นครั่นคร้ามแก่ชาวแคนาดา ตลอดจนคนทั่วโลกเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงเพราะลงมือฆ่ากันแบบแพ็กคู่เท่านั้น แต่เป็นเพราะหนุ่มสาวทั้งคู่ต่างมีหน้าตาดูดี จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีจิตใจที่อำมหิตบิดเบี้ยวเช่นนี้ ถึงขนาดที่สารคดีที่ทำขึ้นเพื่อตีแผ่เรื่องราวฆาตกรรมต่อเนื่องของทั้งคู่ ยังใช้ชื่อเรียกว่า "นักฆ่าเคนและบาร์บี้" (The Ken and Barbie Killers) เลยทีเดียว ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เหยื่อรายแรกที่สังเวยชีวิตให้ความวิปริตของทั้งคู่ยังเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของโฮมอลกาเอง โดยที่โฮมอลการู้เห็นเป็นใจ และเต็มใจให้ความร่วมมือในทุกขั้นตอน 

          เบอร์นาโดและโฮมอลกาเริ่มทำความรู้จักกันในปี 1987 และเป็นโฮมอลกาเสียด้วยซ้ำที่คอยหนุนหลังให้รสนิยมทางเพศแบบซาดิสต์ของเขา ช่วงก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกันในปี 1990 เบอร์นาโดเคยก่อเหตุทั้งสะกดรอย ทำร้ายร่างกาย และข่มขืนหญิงสาวมากกว่า 10 ราย จนกลายเป็นที่หวาดเกรงของผู้คนในย่านสการ์โบโรห์ ของเมืองโตรอนโต และเรียกเหตุการณ์ทำมิดีมิร้ายหญิงสาวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้นว่า The Scarborough Rapist เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยในทันที จนกระทั่งปี 1992 ที่เจ้าหน้าที่เริ่มลงมือตรวจสอบตัวอย่างดีเอ็นเอที่เบอร์นาโดเคยให้ไว้นานแล้ว จนได้พบว่าตรงกับตัวอย่างดีเอ็นเอต้องสงสัยจากร่างเหยื่อ จากนั้นจึงออกหมายจับเบอร์นาโดในทันที 

          และช่างเป็นช่วงเวลาพอเหมาะพอดีกับที่ความสัมพันธ์ระหว่างเบอร์นาโดและโฮมอลกาเริ่มระหองระแหง หลังจากฝ่ายหญิงผู้เคยร่วมลงมือก่อเหตุวิปริตกลับตกเป็นเหยื่อถูกใช้กำลังเสียเอง นางโฮมอลกาถูกสามีตบตีอย่างรุนแรง ทว่าเปลือกนอกที่ดูน่าสงสารได้กลายเป็นเกราะป้องกันตัวให้เธอ โฮมอลกาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี แฉทุกความเลวทรามที่สามีเคยกระทำ แม้การพิจารณาคดีที่ในปี 1993 ศาลได้พบว่าโฮมอลกามีความผิดร่วม เธอยอมรับแต่ระบุว่าถูกเบอร์นาโดบังคับขู่เข็ญให้ทำ ทำให้ได้รับการลดโทษลงกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 12 ปี ในขณะที่เบอร์นาโดนต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งเป็นบทลงโทษรุนแรงที่สุดเท่าที่แคนาดามี  

          แต่อย่างไรก็ดีหลักฐานจากวิดีโอเทปที่ถูกพบในภายหลัง กลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโฮมอลกาเป็นฝ่ายกระตือรือร้นในการทรมานและฆ่าเหยื่ออย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่ลงมือเองและบอกให้เบอร์นาโดทำ ทว่าศาลก็ไม่ได้รื้อคดีส่วนของเธอขึ้นมาพิจารณาใหม่ ยังคงยืนโทษจำคุก 12 ปีเช่นเดิม 
          ส่วนรายละเอียดของเหยื่อที่ทั้งคู่ร่วมกันทรมาน สังหาร และบันทึกวิดีโอเทปไว้ มีดังนี้ 

แทมมี่ โฮมอลกา

          เหยื่อรายแรกของในการลงมือฆ่าข่มขืนอย่างวิปริตของสองสามีภรรยา คือ แทมมี่ โฮมอลกา (Tammy Homolka) เด็กสาววัย 15 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของ นางคาร์ลา โฮมอลกาเอง เรื่องเริ่มต้นขึ้นในปี 1990 หลังจากที่เบอร์นาโดเริ่มสนิทสนมกับครอบครัวโฮมอลกา แม้ว่าจะคบหาอยู่กับคาร์ลา แต่เบอร์นาโดก็แสดงความสนอกสนใจในตัวแทมมี่อย่างไม่คิดจะปิดปังแฟนสาวแต่อย่างใด ถึงกับลอบเข้าไปช่วยตัวเองในห้องเด็กสาวขณะที่แทมมี่กำลังนอนหลับ โดยมีคาร์ลาเป็นฝ่ายเปิดหน้าต่างห้องนอนแทมมี่เพื่อเชื้อเชิญเขาเข้ามา 

          เหตุการณ์ได้ก้าวล้ำไปสู่การลอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาวในวันที่ 24 กรกฎาคม 1990 เมื่อคาร์ลาลอบผสมแวเลียม ยานอนหลับที่เธอขโมยมาจากคลินิกรักษาสัตว์ที่ตนเองทำงานอยู่ ลงไปในอาหารมื้อค่ำของน้องสาว จากนั้นเปิดทางให้เบอร์นาโดเข้ามาลักหลับแทมมี่ที่หลับไหลไม่ได้สติ ในขณะที่ตัวเธอเองก็นั่งดูอยู่ด้วย 

          และแล้วในวันที่ 23 ธันวาคม 1990 ทั้งคู่ก็ลงมืออีกครั้ง และกลายเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแทมมี่ คู่รักวิปริตแอบผสมยานอนหลับในเครื่องดื่มให้เด็กสาวกิน จนเมื่อเธอสลบไปก็ยังใช้เศษผ้าชุบยาสลบฮาโลเทนโปะเข้าให้ที่หน้าของเธออีก อันเป็นผลให้ใบหน้าของแทมมี่มีรอยเบิร์นจากสารเคมีปรากฏอยู่ คาร์ลาให้การในภายหลังว่า ที่เธอลงมือในวันนั้น เพราะต้องการมอบความบริสุทธิ์ของน้องสาวเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับคนรัก ในขณะที่พ่อแม่ของแทมมี่หลับอยู่ที่ชั้นบนของบ้าน ร่างที่ไม่ได้สติของเด็กสาวถูกพี่สาวแท้ ๆ และแฟนหนุ่มผลัดกันกระทำชำเราอย่างหนำใจอยู่ในห้องใต้ดิน ช่วงเวลาหฤหรรษ์สุดวิปริตถูกบันทึกเอาไว้ด้วยกล้องวิดีโอ จนกระทั่งเด็กสาวสำลักอาเจียนอย่างหนัก ชั่วโมงยามแห่งความบ้าคลั่งจึงสิ้นสุดลง 

          เบอร์นาโดและคาร์ลารีบทำลายหลักฐาน เก็บกวาดห้องใต้ดิน จับแทมมี่แต่งตัวแล้วพากลับไปที่ห้องนอนของเธอที่อยู่ชั้นล่าง จากนั้นโทร 911 แจ้งเหตุฉุกเฉิน ร่างที่ยังคงไม่ได้สติของแทมมี่ถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ทว่าเธอก็สิ้นใจในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แต่น่าแปลกเหลือเกินที่ทั้งพ่อแม่ของแทมมี่และเจ้าหน้าไม่เฉลียวใจเลยสักนิดกับเหตุการณ์ที่คู่รักทั้งสองกุขึ้น ว่าเด็กสาวเมาหนักจนสำลักอาเจียนของตัวเอง หลังจากนั้นคาร์ลาและเบอร์นาโดก็ย้ายออกจากบ้านของครอบครัว แล้วไปเช่าบ้านพักอยู่ที่พอร์ตดัลฮูซี่แทน อีก 6 ให้หลัง ทั้งคู่ก็ได้เข้าพิธีแต่งงานกันในปี 1991 

เลสลี่ มาฮาฟฟี่

          เด็กหญิงเลสลี่ มาฮาฟฟี่ (Leslie Mahaffy) วัยเพียง 14 ปี เป็นเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดของสามีภรรยาคู่นี้ สาวน้อยมีอันต้องเตร่อยู่นอกบ้านในเมืองเบอร์ลิงตัน ของรัฐออนตาริโอ ในช่วงรุ่งสางของวันที่ 15 มิถุนายน 1991 และบังเอิญพบกับเบอร์นาโดที่ขับรถผ่านมาพอดี เด็กสาวถูกลักตัวขึ้นรถไป โดยถูกมัดปิดตาไปตลอดทางที่เบอร์นาโดขับรถกลับไปยังที่พักในเมืองพอร์ตดัลฮูซี่ เพื่อบอกข่าวน่าตื่นเต้นกับภรรยาว่าเขาได้เพื่อนเล่นคนใหม่กลับมาด้วย 

          ทั้งคู่ผลัดกันถ่ายวิดีโอเทปบันทึกตนเองขณะทรมานและกระทำชำเราเด็กหญิง ตาของเธอยังคงถูกปิด และมือถูกมัดไว้ด้วยกันขณะที่เธอกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกเบอร์นาโดรุกล้ำเข้าทางทวารหนัก ในวันต่อมาเด็กหญิงก็พบจุดจบของตัวเอง ซึ่งตามคำให้การของเบอร์นาโดอ้างว่า โฮมอลกาให้เธอกินยานอนหลับฮาลเซียนขนานใหญ่ ในขณะที่โฮมอลกาอ้างว่า เบอร์นาโดเป็นผู้สังหารเด็กหญิงด้วยการรัดคอ แล้วปล่อยศพเธอไว้ในห้องใต้ดิน รุ่งขึ้นอีกวันพ่อแม่และน้องสาวอีกคนหนึ่งที่เหลือได้มารับประทานอาหารที่บ้าน ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นปกติราวกับไม่เคยมีใครตายที่บ้านหลังนี้มาก่อน 

          หลังจากครอบครัวโฮมอลกากลับไป สองสามีภรรยาก็ลงมือกำจัดศพทำลายหลักฐาน และนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ลงมือหั่นศพ ร่างไร้ลมหายใจของเด็กสาวถูกเบอร์นาโดแยกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยเลื่อยวงเดือน จากนั้นโบกทับด้วยซีเมนต์ แล้วตระเวนนำไปโยนทิ้งตามจุดต่าง ๆ ของทะเลสาบกิปสัน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักที่ทั้งคู่ไปราว 18 กิโลเมตร 

          จนกระทั่งวันที่ 29 มิถุนายน 1991 ชิ้นส่วนบล็อกหนึ่งก็ถูกพบโดยนักตกปลาสองพ่อลูก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นชิ้นส่วนร่างกายของเด็กหญิงเลสลี่ มาฮาฟฟี่หลังพบว่าวัสดุทำฟันที่พบในก้อนปูนนั้นตรงกับประวัติการทำฟันของเธอ 

คริสเตน เฟรนช์

          เหยื่อรายสุดท้ายของคู่รักฆาตกรโหด คือเด็กสาววัย 15 ปี คริสเตน เฟรนช์ (Christen French) ในช่วงบ่ายวันที่ 16 เมษายน 1992 หนึ่งวันก่อนจะถึงเทศกาลอีสเตอร์ เฟรนช์กำลังเดินจากโรงเรียนกลับบ้านที่อยู่ใกล้กันในเมืองเซนต์แคเธอรีนตามปกติ แต่โชคไม่เข้าข้างนักเมื่อเธอตกเป็นเป้าของเบอร์นาโดและโฮมอลกา ที่กำลังขับรถตระเวนหาเหยื่อรายใหม่ โฮมอลกาถือแผนที่ไว้ในมือ ทำทีเป็นจะเข้าไปถามทางขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อประชิดถึงตัวเด็กสาวแล้วก็ชักมีดขึ้นมาจ่อ แล้วจี้ให้เธอให้ขึ้นรถไปด้วยกัน 

          ชะตากรรมหลังจากนั้นของเด็กสาวไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็น 3 วันเต็ม ๆ เธอถูกทรมานร่างกายสารพัด ถูกบังคับดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากแล้วให้ทำตัวเป็นทาสบำเรอกามของเบอร์นาโด เด็กสาวถูกบังคับข่มขืนทั้งจากด้านหน้าและด้านหลัง มีการบันทึกวิดีโอเทปเอาไว้อย่างเคย แต่คราวนี้ไม่มีการผูกตาเหยื่อ ราวกับทั้งคู่ไม่สนใจว่าเฟรชน์จะจดจำใบหน้าของพวกเขาได้ 

          ในวันถัดมา เด็กสาวที่ร่างกายบอบช้ำยับเยินก็ถูกปลิดชีพ ตามคำให้การของโฮมอลการะบุว่า เบอร์นาโดได้รัดคอเธอนาน 7 นาทีจนถึงแก่ความตาย ในขณะที่ฝ่ายเบอร์นาโดระบุว่า ผู้ลงมือฆ่าเด็กสาวรายนี้คือโฮมอลกา เธอทุบเด็กสาวด้วยค้อนยางหลังพบว่าเฟรนช์พยายามหลบหนี ก่อนจะใช้เชือกห่วงรัดคอเธอแล้วโยงไว้กับหีบเก็บของ จนในที่สุดเด็กสาวก็ขาดใจตาย หลังจากนั้นทั้งคู่ซ่อนศพไว้ที่ห้องใต้ดิน แล้วออกไปกินเลี้ยงฉลองวันอีสเตอร์ที่บ้านครอบครัวของนางโฮมอลกาตามปกติ 

          ในช่วงปลายเดือนเมษายนนั้น ศพของ คริสเตน เฟรนช์ ก็ถูกพบในคูน้ำในเมืองเบอร์ลิงตัน ซึ่งอยู่ข้างเคียงเมืองเซนต์แคเธอรีนที่เด็กสาวถูกลักพาตัวไป ร่างไร้วิญญาณของเธอขึ้นอืดลอยติดฝั่งในสภาพผมบางส่วนถูกตัดออก ในเบื้องต้นคาดการว่าผัวเมียคู่นี้อาจตัดผมเธอเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่โฮมอลกาได้สารภาพในเวลาต่อมาว่า เธอจงใจตัดผมเหยื่อออกเพื่อไม่ให้มีคนจดจำเด็กสาวได้ 

เจน โด เหยื่อกามวิปริตที่รอดชีวิต

          นอกจากเหยื่อทั้งสามรายข้างต้นที่ถูกกระทำชำเราและเสียชีวิตด้วยน้ำมือของทั้งคู่แล้ว ยังมีเด็กสาวอีกหนึ่งคนที่ตกเป็นเหยื่อ ในกระบวนไต่สวนศาลได้ให้ชื่อสมมุติเธอว่า "เจน โด" (Jane Doe) เพื่อปกปิดตัวตนและสถานะของเธอ  

          เจน โด มีอายุ 15 ปี ตอนที่เกิดเหตุ โฮมอลกาได้ตีสนิทกับสาวน้อยตั้งแต่ตนทำงานอยู่ที่คลินิกรักษาสัตว์ ในวันที่ 7 มิถุนายน 1991 โฮมอลกาได้ชวนเด็กสาวไปปาร์ตี้กัน และหลังจากนั้นก็ลอบผสมยานอนหลับฮาลเซียนลงในเครื่องดื่มของเธอ แล้วพาร่างที่ไม่ได้สติกลับมายังพัก บอกเบอร์นาโดว่า "นี่คือของขวัญวันแต่งงาน" สองสามีภรรยาเปลือยร่างของเด็กสาวแล้วลงมือกระทำชำเรา ทั้งคู่บันทึกเทปชั่วโมงหฤหรรษ์อันวิปริตไว้อย่างเคย ในรุ่งเช้าของอีกวันเด็กสาวก็ฟื้นคืนสติ ทว่าเจ้าตัวกลับจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง คิดเพียงว่าตนอาเจียนอย่างหนักเพราะเพิ่งเคยดื่มเหล้าเป็นครั้งแรก 

          เจนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ จนกระทั่งในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้น โฮมอลกาก็ชวนเธอมาค้างคืนที่บ้าน เด็กสาวหลงไปโดยไม่รู้ทันเจตนาร้าย และแล้วก็ถูกวางยาและถูกข่มขืนอีกครั้ง ทว่าระหว่างนั้นเจน โด หยุดหายใจ โฮมอลกาจึงตัดสินใจโทรแจ้ง 911 แต่เพียงอีกไม่กี่นาทีให้หลังก็โทรกลับไปแจ้งใหม่ว่าเหตุการณ์ปกติดีแล้ว ไม่ต้องส่งรถพยาบาลมา และเรื่องราวก็เงียบหายไป จนกระทั่งถูกรื้อขึ้นมาเมื่อทั้งคู่ถูกจับกุมและให้ปากคำ 

          ในปัจจุบันนี้ นางโฮมอลกาพ้นโทษออกจากเรือนจำมาแล้วตั้งแต่ปี 2005 เธอได้แต่งงานใหม่ มีลูก เปลี่ยนชื่อเป็น ลีแอนน์ บอร์เดอเลส (Leanne Bordelais) และย้ายไปอยู่ที่เกาะกัวเดอลูป ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส ในทะเลแคริบเบียน ส่วนเบอร์นาโด ยังรับกรรมต่อสิ่งที่เขาทำอยู่ในเรือนจำไปจนชั่วชีวิต 

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ใจไม่แข็งอย่าดู ! SNUFF FILM หนังใต้ดินสุดเถื่อน ฆ่าจริง ตายจริง ไม่มีเอฟเฟกต์ อัปเดตล่าสุด 27 สิงหาคม 2564 เวลา 13:54:21 153,242 อ่าน
TOP
x close