อุ่นเครื่องต้อนรับ No Time to Die กับ 10 อันดับหนังสายลับ James Bond ที่โกยรายได้สูงสุดตลอดกาล
ความสำเร็จของหนังสายลับ เจมส์ บอนด์ อยู่สร้างความบันเทิงตั้งแต่เข้าฉายครั้งแรกในปี 1962 และในจำนวน 24 ภาคที่เข้าฉายจากอดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ละเรื่องล้วนทำรายได้มากน้อยต่างกันไป และเพื่อเป็นการต้อนรับหนังภาค 25 อย่าง No Time to Die ที่กำลังจะเข้าฉายในบ้านเรา มาย้อนดู 10 อันดับหนังสายลับ 007 ที่ทำเงินสูงสุดกันเป็นการอุ่นเครื่องสักหน่อย โดยเรารวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ Box Office Mojo ซึ่งวัดจากรายได้รวมในสหรัฐอเมริกา ไปดูกันเลยว่าภาคไหนของหนังเจมส์ บอนด์ที่ทำรายได้ดีที่สุด
อันดับ 1 Skyfall (2012)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 1,110 ล้านเหรียญสหรัฐ
หนังภาคที่ 3 ของ แดเนียล เคร็ก ในบทบาท เจมส์ บอนด์ กับภารกิจครั้งใหม่ที่ต้องพบกับบททดสอบความซื่อสัตย์ในจิตใจของตัวเอง
ทำรายได้รวมทั่วโลก 879 ล้านเหรียญสหรัฐ
หนังภาคล่าสุดของมหากาพย์สายลับ 007 ที่ทำรายได้มาเป็นอันดับ 2 ภายใต้การแสดงอันน่าทึ่งของพระเอก แดเนียล เคร็ก กับเรื่องราวหลังจากที่บอนด์ได้รับข้อความปริศนาจากอดีต เขาจึงจำเป็นที่จะต้องตามล่าหาความจริง จนได้ค้นพบกับองค์กรลับสุดร้าย ในระหว่างที่ เอ็ม ต้องปกป้ององค์กรสายลับของ บอนด์ จากปัญหาทางการเมือง บอนด์ จึงต้องเข้าไปค้นหาความจริงและทำให้เขาได้พบกับความชั่วร้ายภายใต้องค์กร SPECTRE
ทำรายได้รวมทั่วโลก 594 ล้านเหรียญสหรัฐ
เรียกได้ว่าเป็นการเปิดตัวอย่างสวยงามสำหรับ แดเนียล เคร็ก กับการรับบทบาท เจมส์ บอนด์ เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งภารกิจครั้งนี้ของสายลับ 007 คือภารกิจเสี่ยงตายในบ่อนกาสิโนรอยัล ที่เขาต้องถอนรากถอนโคนกลุ่มผู้ก่อการร้ายให้สิ้นซากนั่นอง
ทำรายได้รวมทั่วโลก 591 ล้านเหรียญสหรัฐ
หนังเล่าเรื่องราวต่อจากภาค Casino Royale หลังจาก เจมส์ บอนด์ ถูก เวสเปอร์ หญิงสาวคนรักหักหลัง เขากำลังสับสนว่าจะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับภารกิจล่าสุดของเขา เขาพยายามทำทุกทางเพื่อค้นหาและเปิดเผยความจริง บอนด์และเอ็ม ทั้งคู่ได้สอบสวน มิสเตอร์ไวท์ ผู้ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรแบล็คเมล์เวสเปอร์ที่อันตรายมากกว่าที่หลาย ๆ คนคาดคิด
อันดับ 5 No Time to Die (2021)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 454 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาคล่าสุดและเป็นภาคสุดท้ายในการรับบท เจมส์ บอนด์ ของ แดเนียล เคร็ก ใน No Time To Die บอกเลาเรื่องราวเมื่อ เจมส์ บอนด์ กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะ เฟลิกซ์ เลเทอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ ทั้งนี้เป็นการสรุปรายได้รวมทั่วโลก (เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2021) จากเว็บไซต์ Box Office Mojo
ทำรายได้รวมทั่วโลก 454 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาคล่าสุดและเป็นภาคสุดท้ายในการรับบท เจมส์ บอนด์ ของ แดเนียล เคร็ก ใน No Time To Die บอกเลาเรื่องราวเมื่อ เจมส์ บอนด์ กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะ เฟลิกซ์ เลเทอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอ มาขอให้เขาช่วยทำงาน เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ ทั้งนี้เป็นการสรุปรายได้รวมทั่วโลก (เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2021) จากเว็บไซต์ Box Office Mojo
อันดับ 6 Die Another Day (2002)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 431 ล้านเหรียญสหรัฐ
หลายคนยังจำกันได้สำหรับ Die Another Day ที่นำแสดงโดย เพียซ บรอสแนน ในภาคนี้สายลับ 007 ต้องหาความเชื่องโยงระหว่างผู้ก่อการร้ายเกาหลีเหนือ ที่มีต่อพ่อค้าเพชรผู้สนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธอวกาศนานาชาติ
ทำรายได้รวมทั่วโลก 431 ล้านเหรียญสหรัฐ
หลายคนยังจำกันได้สำหรับ Die Another Day ที่นำแสดงโดย เพียซ บรอสแนน ในภาคนี้สายลับ 007 ต้องหาความเชื่องโยงระหว่างผู้ก่อการร้ายเกาหลีเหนือ ที่มีต่อพ่อค้าเพชรผู้สนับสนุนโครงการพัฒนาอาวุธอวกาศนานาชาติ
อันดับ 7 The World Is Not Enough (1999)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 361 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาคที่ 2 ของการรับบท เจมส์ บอนด์ โดย เพียซ บรอสแนน ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าพ่อบ่อน้ำมันถูกสังหาร เจมส์ บอนด์ จึงถูกส่งไปคุ้มครอง อเล็กตร้า ผู้เป็นลูกสาวให้พ้นจากผู้ก่อการร้ายระดับชาติที่วางแผนจะทำลายท่อส่งก๊าซ โดยมี ดร.คริสต์มาส โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุธนิวเคลียร์อยู่เคียงข้าง ทำให้บอนด์ต้องเดินทางไปยังทะเลสาบแคสเปียนและกรุงอิสตันบูล ซึ่งทำให้เขาพบกับศัตรูคนก่อนที่บัดนี้กลายเป็นพันธมิตรกับเขา ซึ่งในขณะเดียวกัน เอ็ม เจ้านายของเขาก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ...
อันดับ 8 Goldeneye (1995)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 356 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาคแรกในการรับบท เจมส์ บอนด์ ของ เพียร์ซ บรอสแนน กับเรื่องราวเมื่อเจ้าหน้าที่ MI6 กลับกลายเป็นอาชญากร และวางแผนทำลายโลกด้วยอาวุธทรงอานุภาพจากอวกาศ บอนด์ ต้องขอความช่วยเหลือจากอดีตพันธมิตรใน คิวบา มอนติ คาร์โล สวิสเซอร์แลนด์ หรือแม้แต่รัสเซีย พร้อมผจญกับ สาวงามสุดอันตรายที่พร้อมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับพ่อสายลับเจ้าเสน่ห์ของเรา
อันดับ 9 Tomorrow Never Dies (1997)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 339 ล้านเหรียญสหรัฐ
การพิสูจน์ฝีมือครั้งที่ 2 ของพระเอก เพียซ บรอสแนน ที่ต้องหยุดยั้งแผนการของเจ้าพ่อสื่อที่ยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างอังกฤษและจีน ผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสามารถครอบครองสื่อทั่วโลกไว้ในกำมือ
อันดับ 10 Moonraker (1979)
ทำรายได้รวมทั่วโลก 210 ล้านเหรียญสหรัฐ
การต่อสู้บนพื้นดินคงจะดูธรรมดาเกินไป สายลับของเราถึงได้พัฒนาฝีมือไปปราบวายร้ายบนกระสวยอวกาศ โดยภารกิจหลักของเขาคือการหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลก ส่วนพระเอกที่สวมบทสายลับ 007 ได้แก่ โรเจอร์ มัวร์
แม้ว่าภาค No Time to Die เพิ่จะเข้าฉายได้ไม่นาน แต่ด้วยความแรงของหนังที่แค่เปิดตัวก็เข้ามาครองอันดับที่ 9 ของตารางละกำลังทยานขึ้นสู่อันดับบนอย่างต่อเนื่อง เชื่อได้เลยว่าความเจ๋งของภาคนี้ต้องทำให้รายชื่อ 10 อันดับด้านบนต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก James Bond 007, The Official James Bond 007 Website
ทำรายได้รวมทั่วโลก 361 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาคที่ 2 ของการรับบท เจมส์ บอนด์ โดย เพียซ บรอสแนน ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าพ่อบ่อน้ำมันถูกสังหาร เจมส์ บอนด์ จึงถูกส่งไปคุ้มครอง อเล็กตร้า ผู้เป็นลูกสาวให้พ้นจากผู้ก่อการร้ายระดับชาติที่วางแผนจะทำลายท่อส่งก๊าซ โดยมี ดร.คริสต์มาส โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุธนิวเคลียร์อยู่เคียงข้าง ทำให้บอนด์ต้องเดินทางไปยังทะเลสาบแคสเปียนและกรุงอิสตันบูล ซึ่งทำให้เขาพบกับศัตรูคนก่อนที่บัดนี้กลายเป็นพันธมิตรกับเขา ซึ่งในขณะเดียวกัน เอ็ม เจ้านายของเขาก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ...
ทำรายได้รวมทั่วโลก 356 ล้านเหรียญสหรัฐ
ภาคแรกในการรับบท เจมส์ บอนด์ ของ เพียร์ซ บรอสแนน กับเรื่องราวเมื่อเจ้าหน้าที่ MI6 กลับกลายเป็นอาชญากร และวางแผนทำลายโลกด้วยอาวุธทรงอานุภาพจากอวกาศ บอนด์ ต้องขอความช่วยเหลือจากอดีตพันธมิตรใน คิวบา มอนติ คาร์โล สวิสเซอร์แลนด์ หรือแม้แต่รัสเซีย พร้อมผจญกับ สาวงามสุดอันตรายที่พร้อมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้ดื่มด่ำกับพ่อสายลับเจ้าเสน่ห์ของเรา
ทำรายได้รวมทั่วโลก 339 ล้านเหรียญสหรัฐ
การพิสูจน์ฝีมือครั้งที่ 2 ของพระเอก เพียซ บรอสแนน ที่ต้องหยุดยั้งแผนการของเจ้าพ่อสื่อที่ยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างอังกฤษและจีน ผู้ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองสามารถครอบครองสื่อทั่วโลกไว้ในกำมือ
ทำรายได้รวมทั่วโลก 210 ล้านเหรียญสหรัฐ
การต่อสู้บนพื้นดินคงจะดูธรรมดาเกินไป สายลับของเราถึงได้พัฒนาฝีมือไปปราบวายร้ายบนกระสวยอวกาศ โดยภารกิจหลักของเขาคือการหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลก ส่วนพระเอกที่สวมบทสายลับ 007 ได้แก่ โรเจอร์ มัวร์
ภาพจาก เฟซบุ๊ก James Bond 007, The Official James Bond 007 Website