เยอะมากแม่ !! รวม 22 หนังดิสนีย์คลาสสิกที่ถูกนำมาสร้างใหม่ในฉบับคนแสดง บอกเลยมีครบทั้งเรื่องที่เข้าฉายไปแล้วและเรื่องที่กำลังรอคิวเข้าฉาย งานนี้สาวกเจ้าหญิง-เจ้าชาย ได้ดูกันจนตาแฉะแน่นอน
1. Alice in Wonderland (2010) และ Alice Through the Looking Glass (2016)
ดิสนีย์เลือกประเดิมหนังไลฟ์-แอ็คชั่นเรื่องแรกด้วย Alice in Wonderland ในปี 2010 โดยได้ผู้กำกับมากฝีมือ ทิม เบอร์ตัน เป็นคนเนรมิตเรื่องราวจากนิยายแฟนตาซีของลูอิส แคร์รอล และการ์ตูนแอนิเมชั่น Alice in Wonderland (1951) ให้ออกมาสมจริงและกลมกล่อม ซึ่งงานนี้เต็มไปด้วยนักแสดงตัวแม่คับคั่ง ทั้งมีอา วาซิโควสกา (รับบทเป็นอลิซ) แอนน์ แฮททาเวย์ (รับบทเป็นราชินีขาว) และเฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ (รับบทเป็นราชินีแดง) อีกทั้งยังได้ จอห์นนี เดปป์ มารับบทเป็นแมดแฮทเทอร์ด้วย ก็เลยทำให้กระแสปังเว่อร์เกินคาด กวาดรายได้ไปถล่มทลายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้มีหนังดิสนีย์ ไลฟ์-แอ็คชั่น เรื่องอื่นตามมาเพียบ ที่สำคัญคือมีภาคต่อ Alice Through the Looking Glass ออกมาด้วย ทว่าภาคหลังนี้กระแสและรายได้กลับสวนทางกับภาคแรกมากพอสมควรเลยทีเดียว
5. The Jungle Book (2016)
The Jungle Book (2016) ก็เป็นหนังคลาสสิกอีกหนึ่งเรื่องที่ดิสนีย์หยิบมาทำเป็นไลฟ์-แอ็คชั่น โดยเนื้อหาจะพาเราย้อนกลับเข้าป่าเหมือนต้นฉบับ The Jungle Book (1967) เป๊ะ โดยได้ จอน ฟาฟวโร จากไอรอนแมน นั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ส่วนดาวเด่น เมาคลี ลูกหมาป่า รับบทโดยหนุ่มน้อย นีล เซธี นอกจากนี้ยังมีนักแสดงแถวหน้าร่วมพากย์เสียงเป็นสัตว์ต่าง ๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็นไอดริส เอลบา, สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, ลูปิต้า นียองโง และเบน คิงส์ลีย์ ทว่าที่น่าสนใจก็คือหนังเรื่องนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปกว่า 882 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดิสนีย์ก็เลยไฟเขียวให้สร้างภาคต่อได้ พร้อมให้ จอน ฟาฟวโร นั่งแท่นเป็นผู้กำกับเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคนละเวอร์ชั่นกับที่ แอนดี้ เซอร์คิส กำกับและฉายใน Netflix นะจ๊ะ
ภาพจาก เฟซบุ๊กThe Jungle Book
6. Pete’s Dragon (2016)
จากหนังลูกผสมระหว่างคนแสดงและการ์ตูนใน Pete’s Dragon (1977) สู่หนังไลฟ์-แอ็คชั่นเต็มตัวใน Pete’s Dragon (2016) จึงทำให้เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้มีความสมจริงยิ่งขึ้น เข้มข้นยิ่งกว่า แต่ก็ยังคงความสดใส ไร้พิษสงเอาไว้เหมือนเดิม โดยเนื้อหาเป็นเรื่องราวของ พีท เด็กกำพร้าที่มีเพื่อนสนิทเป็นมังกรตัวเขียวชื่อว่า เอลเลียต ซึ่งจะบอกเล่าในรูปแบบที่ทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมากขึ้น นำแสดงโดย โอ๊คส์ เฟกลีย์ กับบท พีท, ไบร์ซ ดัลลาส โฮวาร์ด กับบทเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด กับบทพ่อของพีท ส่วนผู้กำกับได้ เดวิด โลเวอรี่ มานั่งแท่นคุมบังเหียน ทว่าทำรายได้ไปเพียง 143.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
9. Mary Poppins Returns (2018)
หลังจาก จูลี่ แอนดรูว์ส เคยสวมบทบาทเป็นพี่เลี้ยงสาวผู้มีเวทมนตร์ใน Mary Poppins Returns (1964) จนโด่งดัง ดิสนีย์ก็เลยสร้างภาคต่อ Mary Poppins Returns (2018) โดยได้ เอมิลี่ บลันท์ นักแสดงมากฝีมือ มาสวมบทเป็นพี่เลี้ยงแทน ส่วนเรื่องราวในภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากภาคแรกประมาณ 30 ปีได้ เมื่อ แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ กลับมาเยี่ยมสองพี่น้อง เจน และไมเคิล แบงค์ส ที่เติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายต้องช่วยแก้ปัญหาให้กับสองพี่น้องอีกครั้ง ซึ่งตำแหน่งผู้กำกับก็ยังตกเป็นของ ร็อบ มาร์แชล เหมือนเดิม งานนี้เลยมั่นใจได้ว่าสนุกแน่นอน
10. Dumbo (2019)
อีกหนึ่งผลงานแฟนตาซีของ ทิม เบอร์ตัน ที่จะพาเราร่วมลุ้นระทึกและเอาใจช่วยไปกับช้างน้อยใน Dumbo (2019) โดยเรื่องราวเหมือนเดิมคือ เกิดขึ้นในคณะละครสัตว์ที่กำลังมีปัญหาทางด้านการเงิน แต่ดันมี ดัมโบ้ ลูกช้างที่มีหูใหญ่ผิดปกติจนเป็นปมด้อยเกิดขึ้นมา เจ้าของก็เลยเรียกอดีตนักแสดง ฮอลต์ ฟาร์ริเออร์ (รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล) และลูก ๆ ให้เข้ามาช่วยดูแล และนั่นก็ทำให้พวกเขารู้ความจริงว่าเจ้าดัมโบ้บินได้ จนทำให้คณะละครสัตว์กลับมามีความหวังอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาตามมา เนื่องจากไปเข้าตานักธุรกิจที่กำลังมองหาสัตว์ประหลาดอยู่ บอกเลยเรื่องนี้สนุกครบรส ส่วนรายได้อยู่ที่ 353 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Dumbo
11. Aladdin (2019)
ขึ้นแท่นเป็นหนังดังแห่งปีเลยทีเดียว สำหรับ Aladdin (2019) หนังไลฟ์-แอ็คชันจากค่ายดิสนีย์ ที่ประสบความสำเร็จมาก กวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 1,048 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเนื้อเรื่องเป็นการนำแอนิเมชั่นคลาสสิกปี 1992 มาปรับปรุงใหม่ ได้ กาย ริตชี เป็นผู้กำกับ มี วิล สมิธ เป็นจินนี่ ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ, มีนา มาซูด เป็นอะลาดิน และนาโอมิ สก็อตต์ เป็นเจ้าหญิงจัสมิน ซึ่งไฮไลต์สำคัญต้องยกให้กับฉากอะลาดินพาเจ้าหญิงนั่งพรมวิเศษเหาะชมโลก พร้อมกับเพลงคุ้นหู a whole new world ที่สร้างปรากฏการณ์เพลงฮิต ทำคนร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมมีคนดัง cover เพียบ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Aladdin
12. The Lion King (2019)
อีกหนึ่งหนังปังแห่งปีต้องยกให้กับ The Lion King (2019) ภาพยนตร์ไลฟ์-แอ็คชั่น ซีจีแน่นของค่ายดิสนีย์ ที่ดัดแปลงมาจาก The Lion King (1994) แอนิเมชั่นที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล (968.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่น้อยหน้า คว้าไปถึง 1,629 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเนื้อหายังคงเป็นเรื่องราวการผจญภัยและต่อสู้ของราชาที่แท้จริงเหมือนเดิม แต่อัปเกรดได้ จอน ฟาฟวโร จาก The Jungle Book มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ฉะนั้นงานจึงละเอียดเนี้ยบ สมจริงทุกอณู พร้อมทั้งขนตัวพ่อ-ตัวแม่มาเพียบ ไม่ว่าจะโดนัลด์ โกลเวอร์ ผู้ให้เสียงซิมบ้า, บียอนเซ่ โนวส์ คาร์เตอร์ ผู้ให้เสียงนาลา และเจมส์ เอิร์ล โจนส์ ผู้ให้เสียงมูฟาซา แถมยังมีเพลงเพราะ ๆ จัดเต็มอีกมากมายเลยล่ะ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Lion King
13. Lady and the Tramp (2019)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดิสนีย์มีผลต่อความทรงจำในวัยเด็กของเรามาก เกือบทุกคนต้องรู้จักเจ้าหญิงดิสนีย์ไม่คนใดก็คนหนึ่งมาก่อน ซึ่งหลังจากที่เสริมสร้างจินตนาการในรูปแบบการ์ตูนมาหลายยุคหลายสมัย ล่าสุดดิสนีย์ก็ได้พัฒนานำเรื่องราวสุดคลาสสิกมาทยอยสร้างเป็นหนังฉบับไลฟ์-แอ็คชั่น (Live-Action) ซึ่งในปัจจุบันก็มีเข้าฉายไปแล้วหลายเรื่อง และยังมีอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างการถ่ายทำ ว่าแต่จะมีเรื่องอะไร น่าดูอย่างไร และไฮไลต์เด็ดอยู่ตรงไหนบ้าง ตามมาชมข้อมูลที่กระปุกดอทคอมรวมมาฝากกันเลยดีกว่าค่ะ
ดิสนีย์เลือกประเดิมหนังไลฟ์-แอ็คชั่นเรื่องแรกด้วย Alice in Wonderland ในปี 2010 โดยได้ผู้กำกับมากฝีมือ ทิม เบอร์ตัน เป็นคนเนรมิตเรื่องราวจากนิยายแฟนตาซีของลูอิส แคร์รอล และการ์ตูนแอนิเมชั่น Alice in Wonderland (1951) ให้ออกมาสมจริงและกลมกล่อม ซึ่งงานนี้เต็มไปด้วยนักแสดงตัวแม่คับคั่ง ทั้งมีอา วาซิโควสกา (รับบทเป็นอลิซ) แอนน์ แฮททาเวย์ (รับบทเป็นราชินีขาว) และเฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ (รับบทเป็นราชินีแดง) อีกทั้งยังได้ จอห์นนี เดปป์ มารับบทเป็นแมดแฮทเทอร์ด้วย ก็เลยทำให้กระแสปังเว่อร์เกินคาด กวาดรายได้ไปถล่มทลายกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และทำให้มีหนังดิสนีย์ ไลฟ์-แอ็คชั่น เรื่องอื่นตามมาเพียบ ที่สำคัญคือมีภาคต่อ Alice Through the Looking Glass ออกมาด้วย ทว่าภาคหลังนี้กระแสและรายได้กลับสวนทางกับภาคแรกมากพอสมควรเลยทีเดียว
2. Maleficent (2014) และ Maleficent: Mistress of Evil (2019)
Well Well หนังไลฟ์-แอ็คชั่นที่นำเสนอมุมมองของตัวร้ายได้ดีงามจนเราไม่อยากให้ทุกคนพลาด คงต้องยกให้กับ Maleficent (2014) แม่มดสุดเฉี่ยวที่มาพร้อมกับเขาอันน่ากลัว ซึ่งรับบทโดยคุณแม่แองเจลินา โจลี โดยเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแอนิเมชั่นสุดคลาสสิกเรื่อง Sleeping Beauty (1959) ทว่าจะเจาะลึกลงไปถึงต้นกำเนิดของตัวร้ายสุดโด่งดังและนำเสนอถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับเจ้าหญิงออโรร่า ที่สวมบทโดยสาวน้อยแอล แฟนนิง ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับขุ่นแม่ทั้งที กระแสตอบรับก็ต้องดีมาก กวาดรายได้ทั่วโลกไปราว 758 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังสร้างภาค 2 เรียบร้อยแล้ว โดยใช้ชื่อว่า Maleficent: Mistress of Evil
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Maleficent
3. Cinderella (2015)
หลังจากกระแสดีไม่มีตก คราวนี้ก็ถึงเวลาของเจ้าหญิงสุดโด่งดัง เจ้าของสัญลักษณ์รองเท้าแก้วและเวลาเที่ยงคืนซะที โดย Cinderella (2015) สร้างอิงจากตำนานหนังดิสนีย์สุดคลาสสิก Cinderella (1950) ได้ ลิลี่ เจมส์ มารับบทเป็นเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า พร้อมด้วย ริชาร์ด แมดเดน หรือ ร็อบบ์ สตาร์ก จาก Game of Thrones มารับบทเป็นเจ้าชายสุดหล่อ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ เป็นนางฟ้าแม่ทูนหัว และเคต แบลนเชตต์ เป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ส่วนหน้าที่ผู้กำกับตกเป็นของเคนเนธ บรานาห์ และคริส ไวซ์ นั่งแท่นเป็นคนเขียนบท ซึ่งต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ร่ายคาถาใส่คนทั่วโลกได้สำเร็จ จึงรับรายได้ไปเหนาะ ๆ 543.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
4. Into the Woods (2014)
เอาใจสาวกคอมเมดี้-แฟนตาซี กับ Into the Woods หนังมิวสิคัลคนแสดงที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงสุดคลาสสิกของ สตีเฟ่น ซาวน์เฮม โดยเนื้อหาจะนำนิทานชื่อดังหลายเรื่องมารวมกัน ซึ่งรวมถึงซินเดอเรลล่าและราพันเซล เจ้าหญิงของดิสนีย์ด้วย ทว่าจุดเด่นกลับอยู่ที่แม่มด (รับบทโดย เมอร์รีล สตรีพ) ซึ่งเป็นตัวละครหลัก เนื่องจากเธอต้องการสอนบทเรียนให้กับตัวละครจากเทพนิยายเรื่องต่าง ๆ กำกับโดย ร็อบ มาร์แชล คับคั่งไปด้วยนักแสดงชื่อดังมากมาย เช่น ลิลล่า ครอว์ฟอร์ด, จอห์นนี เดปป์, เจมส์ คอร์เดน, เอมิลี่ บลันท์, แอนนา เคนดริก, คริส ไพน์ และแมคเคนซี่ เมาซี่ เป็นต้น
Well Well หนังไลฟ์-แอ็คชั่นที่นำเสนอมุมมองของตัวร้ายได้ดีงามจนเราไม่อยากให้ทุกคนพลาด คงต้องยกให้กับ Maleficent (2014) แม่มดสุดเฉี่ยวที่มาพร้อมกับเขาอันน่ากลัว ซึ่งรับบทโดยคุณแม่แองเจลินา โจลี โดยเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแอนิเมชั่นสุดคลาสสิกเรื่อง Sleeping Beauty (1959) ทว่าจะเจาะลึกลงไปถึงต้นกำเนิดของตัวร้ายสุดโด่งดังและนำเสนอถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับเจ้าหญิงออโรร่า ที่สวมบทโดยสาวน้อยแอล แฟนนิง ซึ่งก็แน่นอนว่าระดับขุ่นแม่ทั้งที กระแสตอบรับก็ต้องดีมาก กวาดรายได้ทั่วโลกไปราว 758 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังสร้างภาค 2 เรียบร้อยแล้ว โดยใช้ชื่อว่า Maleficent: Mistress of Evil
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Maleficent
หลังจากกระแสดีไม่มีตก คราวนี้ก็ถึงเวลาของเจ้าหญิงสุดโด่งดัง เจ้าของสัญลักษณ์รองเท้าแก้วและเวลาเที่ยงคืนซะที โดย Cinderella (2015) สร้างอิงจากตำนานหนังดิสนีย์สุดคลาสสิก Cinderella (1950) ได้ ลิลี่ เจมส์ มารับบทเป็นเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า พร้อมด้วย ริชาร์ด แมดเดน หรือ ร็อบบ์ สตาร์ก จาก Game of Thrones มารับบทเป็นเจ้าชายสุดหล่อ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ เป็นนางฟ้าแม่ทูนหัว และเคต แบลนเชตต์ เป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ส่วนหน้าที่ผู้กำกับตกเป็นของเคนเนธ บรานาห์ และคริส ไวซ์ นั่งแท่นเป็นคนเขียนบท ซึ่งต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ร่ายคาถาใส่คนทั่วโลกได้สำเร็จ จึงรับรายได้ไปเหนาะ ๆ 543.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เอาใจสาวกคอมเมดี้-แฟนตาซี กับ Into the Woods หนังมิวสิคัลคนแสดงที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงสุดคลาสสิกของ สตีเฟ่น ซาวน์เฮม โดยเนื้อหาจะนำนิทานชื่อดังหลายเรื่องมารวมกัน ซึ่งรวมถึงซินเดอเรลล่าและราพันเซล เจ้าหญิงของดิสนีย์ด้วย ทว่าจุดเด่นกลับอยู่ที่แม่มด (รับบทโดย เมอร์รีล สตรีพ) ซึ่งเป็นตัวละครหลัก เนื่องจากเธอต้องการสอนบทเรียนให้กับตัวละครจากเทพนิยายเรื่องต่าง ๆ กำกับโดย ร็อบ มาร์แชล คับคั่งไปด้วยนักแสดงชื่อดังมากมาย เช่น ลิลล่า ครอว์ฟอร์ด, จอห์นนี เดปป์, เจมส์ คอร์เดน, เอมิลี่ บลันท์, แอนนา เคนดริก, คริส ไพน์ และแมคเคนซี่ เมาซี่ เป็นต้น
5. The Jungle Book (2016)
The Jungle Book (2016) ก็เป็นหนังคลาสสิกอีกหนึ่งเรื่องที่ดิสนีย์หยิบมาทำเป็นไลฟ์-แอ็คชั่น โดยเนื้อหาจะพาเราย้อนกลับเข้าป่าเหมือนต้นฉบับ The Jungle Book (1967) เป๊ะ โดยได้ จอน ฟาฟวโร จากไอรอนแมน นั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ส่วนดาวเด่น เมาคลี ลูกหมาป่า รับบทโดยหนุ่มน้อย นีล เซธี นอกจากนี้ยังมีนักแสดงแถวหน้าร่วมพากย์เสียงเป็นสัตว์ต่าง ๆ เพียบ ไม่ว่าจะเป็นไอดริส เอลบา, สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, ลูปิต้า นียองโง และเบน คิงส์ลีย์ ทว่าที่น่าสนใจก็คือหนังเรื่องนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปกว่า 882 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดิสนีย์ก็เลยไฟเขียวให้สร้างภาคต่อได้ พร้อมให้ จอน ฟาฟวโร นั่งแท่นเป็นผู้กำกับเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคนละเวอร์ชั่นกับที่ แอนดี้ เซอร์คิส กำกับและฉายใน Netflix นะจ๊ะ
ภาพจาก เฟซบุ๊กThe Jungle Book
6. Pete’s Dragon (2016)
จากหนังลูกผสมระหว่างคนแสดงและการ์ตูนใน Pete’s Dragon (1977) สู่หนังไลฟ์-แอ็คชั่นเต็มตัวใน Pete’s Dragon (2016) จึงทำให้เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้มีความสมจริงยิ่งขึ้น เข้มข้นยิ่งกว่า แต่ก็ยังคงความสดใส ไร้พิษสงเอาไว้เหมือนเดิม โดยเนื้อหาเป็นเรื่องราวของ พีท เด็กกำพร้าที่มีเพื่อนสนิทเป็นมังกรตัวเขียวชื่อว่า เอลเลียต ซึ่งจะบอกเล่าในรูปแบบที่ทันสมัย เข้ากับไลฟ์สไตล์ปัจจุบันมากขึ้น นำแสดงโดย โอ๊คส์ เฟกลีย์ กับบท พีท, ไบร์ซ ดัลลาส โฮวาร์ด กับบทเจ้าหน้าที่ดูแลอุทยาน และโรเบิร์ต เรดฟอร์ด กับบทพ่อของพีท ส่วนผู้กำกับได้ เดวิด โลเวอรี่ มานั่งแท่นคุมบังเหียน ทว่าทำรายได้ไปเพียง 143.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
7. Beauty and the Beast (2017)
สำหรับ Beauty and the Beast (1991) ตำนานหนังคลาสสิกดิสนีย์ เจ้าของตำแหน่งแอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก็ถูกนำมารีเมกใหม่ฉบับไลฟ์-แอ็คชั่นเช่นกัน โดย Beauty and the Beast (2017) ได้สาวหน้าเป๊ะ เอ็มม่า วัตสัน มารับบทเป็นโฉมงามเบลล์ ส่วนเจ้าชายอสูรแสดงโดย แดน สตีเวนส์ นอกจากนี้ยังมีนักแสดงชื่อดังอีกเพียบ เช่น ลุค อีแวนส์, เอียน แม็กเคลเลน และยวน แม็คเกรเกอร์ ส่วนเรื่องกระแสก็ไม่น้อยหน้า เพราะเวอร์ชั่นนี้ติดท็อป 20 หนังที่เปิดตัววันแรกสูงสุด โดยฟาดรายได้เปิดตัวไป 357 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
สำหรับ Beauty and the Beast (1991) ตำนานหนังคลาสสิกดิสนีย์ เจ้าของตำแหน่งแอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ก็ถูกนำมารีเมกใหม่ฉบับไลฟ์-แอ็คชั่นเช่นกัน โดย Beauty and the Beast (2017) ได้สาวหน้าเป๊ะ เอ็มม่า วัตสัน มารับบทเป็นโฉมงามเบลล์ ส่วนเจ้าชายอสูรแสดงโดย แดน สตีเวนส์ นอกจากนี้ยังมีนักแสดงชื่อดังอีกเพียบ เช่น ลุค อีแวนส์, เอียน แม็กเคลเลน และยวน แม็คเกรเกอร์ ส่วนเรื่องกระแสก็ไม่น้อยหน้า เพราะเวอร์ชั่นนี้ติดท็อป 20 หนังที่เปิดตัววันแรกสูงสุด โดยฟาดรายได้เปิดตัวไป 357 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
8. Christopher Robin (2018)
แน่นอนว่าเจ้าหมีสีเหลืองขวัญใจคนทุกเพศ ทุกวัย จากเรื่อง Winnie the Pooh ก็มีหนังไลฟ์-แอ็คชั่นเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกัน โดยบทบาทของพูห์ จะได้ จิม คัมมิงส์ กลับมาพากย์เสียงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ Christopher Robin (2018) จะบอกเล่าเรื่องราวในมุมที่โตขึ้น เมื่อตัวเอกอย่าง คริสโตเฟอร์ โรบิน (รับบทโดย ยวน แม็คเกรเกอร์) โตเป็นผู้ใหญ่และเผชิญกับปัญหารอบด้าน จนเพื่อนซี้วัยเด็กต้องเข้ามาช่วยทวงคืนความสุขที่หายไป พาย้อนกลับไปสู่ความทรงจำวัยที่งดงามอีกครั้ง ซึ่งต้องบอกเลยว่านี่อาจจะไม่ใช่หนังสำหรับเด็กเสียทีเดียว แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหมียังกินใจไม่เปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่าเจ้าหมีสีเหลืองขวัญใจคนทุกเพศ ทุกวัย จากเรื่อง Winnie the Pooh ก็มีหนังไลฟ์-แอ็คชั่นเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกัน โดยบทบาทของพูห์ จะได้ จิม คัมมิงส์ กลับมาพากย์เสียงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ Christopher Robin (2018) จะบอกเล่าเรื่องราวในมุมที่โตขึ้น เมื่อตัวเอกอย่าง คริสโตเฟอร์ โรบิน (รับบทโดย ยวน แม็คเกรเกอร์) โตเป็นผู้ใหญ่และเผชิญกับปัญหารอบด้าน จนเพื่อนซี้วัยเด็กต้องเข้ามาช่วยทวงคืนความสุขที่หายไป พาย้อนกลับไปสู่ความทรงจำวัยที่งดงามอีกครั้ง ซึ่งต้องบอกเลยว่านี่อาจจะไม่ใช่หนังสำหรับเด็กเสียทีเดียว แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกับหมียังกินใจไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจาก จูลี่ แอนดรูว์ส เคยสวมบทบาทเป็นพี่เลี้ยงสาวผู้มีเวทมนตร์ใน Mary Poppins Returns (1964) จนโด่งดัง ดิสนีย์ก็เลยสร้างภาคต่อ Mary Poppins Returns (2018) โดยได้ เอมิลี่ บลันท์ นักแสดงมากฝีมือ มาสวมบทเป็นพี่เลี้ยงแทน ส่วนเรื่องราวในภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากภาคแรกประมาณ 30 ปีได้ เมื่อ แมรี่ ป๊อปปิ้นส์ กลับมาเยี่ยมสองพี่น้อง เจน และไมเคิล แบงค์ส ที่เติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายต้องช่วยแก้ปัญหาให้กับสองพี่น้องอีกครั้ง ซึ่งตำแหน่งผู้กำกับก็ยังตกเป็นของ ร็อบ มาร์แชล เหมือนเดิม งานนี้เลยมั่นใจได้ว่าสนุกแน่นอน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mary Poppins
อีกหนึ่งผลงานแฟนตาซีของ ทิม เบอร์ตัน ที่จะพาเราร่วมลุ้นระทึกและเอาใจช่วยไปกับช้างน้อยใน Dumbo (2019) โดยเรื่องราวเหมือนเดิมคือ เกิดขึ้นในคณะละครสัตว์ที่กำลังมีปัญหาทางด้านการเงิน แต่ดันมี ดัมโบ้ ลูกช้างที่มีหูใหญ่ผิดปกติจนเป็นปมด้อยเกิดขึ้นมา เจ้าของก็เลยเรียกอดีตนักแสดง ฮอลต์ ฟาร์ริเออร์ (รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล) และลูก ๆ ให้เข้ามาช่วยดูแล และนั่นก็ทำให้พวกเขารู้ความจริงว่าเจ้าดัมโบ้บินได้ จนทำให้คณะละครสัตว์กลับมามีความหวังอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาตามมา เนื่องจากไปเข้าตานักธุรกิจที่กำลังมองหาสัตว์ประหลาดอยู่ บอกเลยเรื่องนี้สนุกครบรส ส่วนรายได้อยู่ที่ 353 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Dumbo
ขึ้นแท่นเป็นหนังดังแห่งปีเลยทีเดียว สำหรับ Aladdin (2019) หนังไลฟ์-แอ็คชันจากค่ายดิสนีย์ ที่ประสบความสำเร็จมาก กวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 1,048 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเนื้อเรื่องเป็นการนำแอนิเมชั่นคลาสสิกปี 1992 มาปรับปรุงใหม่ ได้ กาย ริตชี เป็นผู้กำกับ มี วิล สมิธ เป็นจินนี่ ยักษ์ในตะเกียงวิเศษ, มีนา มาซูด เป็นอะลาดิน และนาโอมิ สก็อตต์ เป็นเจ้าหญิงจัสมิน ซึ่งไฮไลต์สำคัญต้องยกให้กับฉากอะลาดินพาเจ้าหญิงนั่งพรมวิเศษเหาะชมโลก พร้อมกับเพลงคุ้นหู a whole new world ที่สร้างปรากฏการณ์เพลงฮิต ทำคนร้องกันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมมีคนดัง cover เพียบ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Aladdin
12. The Lion King (2019)
อีกหนึ่งหนังปังแห่งปีต้องยกให้กับ The Lion King (2019) ภาพยนตร์ไลฟ์-แอ็คชั่น ซีจีแน่นของค่ายดิสนีย์ ที่ดัดแปลงมาจาก The Lion King (1994) แอนิเมชั่นที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล (968.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยเวอร์ชั่นนี้ก็ไม่น้อยหน้า คว้าไปถึง 1,629 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเนื้อหายังคงเป็นเรื่องราวการผจญภัยและต่อสู้ของราชาที่แท้จริงเหมือนเดิม แต่อัปเกรดได้ จอน ฟาฟวโร จาก The Jungle Book มานั่งแท่นเป็นผู้กำกับ ฉะนั้นงานจึงละเอียดเนี้ยบ สมจริงทุกอณู พร้อมทั้งขนตัวพ่อ-ตัวแม่มาเพียบ ไม่ว่าจะโดนัลด์ โกลเวอร์ ผู้ให้เสียงซิมบ้า, บียอนเซ่ โนวส์ คาร์เตอร์ ผู้ให้เสียงนาลา และเจมส์ เอิร์ล โจนส์ ผู้ให้เสียงมูฟาซา แถมยังมีเพลงเพราะ ๆ จัดเต็มอีกมากมายเลยล่ะ
ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Lion King
ในเมื่อหนังไลฟ์-แอ็คชั่นเกี่ยวกับสัตว์ปังมาก ดิสนีย์ก็เลยจัดมาอีกหนึ่งเรื่องกับ Lady and the Tramp (2019) หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ ทรามวัยกับไอ้ตูบ แอนิเมชั่นรุ่นบุกเบิกยอดฮิตเมื่อปี 1955 โดยเวอร์ชั่นนี้ได้ ชาร์ลี บีน จาก The LEGO Ninjago Movie มานั่งแท่นกำกับ พร้อมด้วย เทสซา ทอมป์สัน และจัสติน เทอรู กับการพากย์เสียงบทนำ ส่วนเนื้อเรื่องก็อย่างที่รู้กันดีว่าเป็นความรักโรแมนติกในโลกของน้องหมา ที่มีฉากจำคือ การดินเนอร์สปาเกตตีใต้แสงเทียนสุดน่ารัก ซึ่งว่ากันว่าการถ่ายทำและตัดต่อใช้ซีจีเกือบทั้งหมด จึงทำให้ผู้สร้างต้องทุ่มทุนกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยฉายผ่านทาง Disney+ Hotstar
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Lady and the Tramp
14. Mulan (2020)
ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Little Mermaid
โอ้โห เรียกได้ว่าดิสนีย์มีหนังให้แฟนคลับดูกันไม่ขาดสายเลยจริง ๆ เอาเป็นว่าถ้าหากใครยังไม่ได้ดูเรื่องไหนก็รีบตามไปเก็บให้ครบ อย่าให้พลาด ส่วนหนังใหม่ที่กำลังจะเข้าฉายนั้น เชื่อเลยว่าต้องดีงาม คุ้มค่า สมราคาดิสนีย์ชัวร์ !
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Lady and the Tramp
14. Mulan (2020)
วีรสตรีสุดยิ่งใหญ่ของดิสนีย์กลับมาอีกครั้งใน Mulan (2020) ที่ได้นักแสดงชั้นนำมาร่วมอย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น หลิว อี้เฟย ในบท มู่หลาน, ดอนนี่ เยน ในบท แม่ทัพถัง, เจสัน สก็อตต์ ลี ในบท โบรี่ ข่าน และโยสัน อัน ในบท เช็ง ฮงฮุย นอกจากนี้ซุปตาร์อย่าง กง ลี่ และเจ็ท ลี ก็ยังร่วมแจมด้วย โดยได้ นิกิ คาโร เป็นผู้กำกับ สร้างอิงจากบทกวีเรื่องเล่า The Ballad of Mulan เป็นเรื่องราวของ ฮัว มู่หลาน ลูกสาวที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อไปรบแทนพ่อที่เจ็บป่วย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mulan
15. Cruella (2021)
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mulan
15. Cruella (2021)
หลังจากหยิบเอาตัวร้ายมาทำหนังแล้วดีเว่อร์ ดิสนีย์ก็เลยไม่รอช้า จัดมาอีกเรื่องกับ Cruella (2020) ซึ่งถ้าหากใครจำได้ ก็จะพบว่า บทบาท ครูเอลลา เดวิล เคยมีเวอร์ชั่นคนแสดงในเรื่อง 101 Dalmatians ในปี 1996 มาแล้ว แต่คราวนี้จะทำให้ทุกคนช็อกยิ่งกว่า เพราะคว้า เอ็มม่า สโตน สาวสวยสดใสมาพลิกบทเป็นวายร้ายสุดซ่า โดยเนื้อหาจะเป็นการบอกเล่าถึงต้นกำเนิดของเธอว่ามีความเป็นมาอย่างไร หนังได้ เคลลี่ มาร์เซล จาก Fifty Shades of Grey มาเป็นคนเขียนบท ภายใต้การกำกับของ เคร็ก กิลเลสปี จาก Million Dollar Arm และ The Finest Hours
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Cruella de Vil
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Cruella de Vil
16. The Little Mermaid
ในที่สุดก็ถึงเวลาของ แอเรียล เจ้าหญิงนางเงือกสุดป๊อปสักที โดย The Little Mermaid เวอร์ชั่นนี้ดิสนีย์เป็นผู้ผลิตเอง ไม่ขึ้นตรงกับค่ายใด ได้ ฮัลเล เบลีย์ นักร้อง-นักแสดงสาวจากวง Chloe x Halle มารับบทนำ ส่วนผู้กำกับเป็น ร็อบ มาร์แชล จาก Mary Poppins Returns ซึ่งก็แน่นอนว่าคว้านักร้องมาแสดงทั้งที ด้านมิวสิคัลก็เลยจัดเต็ม มีครบทั้งเพลงฮิตของ อลัน เมนเคน และฮาวเวิร์ด แอชมาน รวมถึงยังมีเพลงใหม่ที่แต่งโดย อลัน เมนเคน และหลิน มานวยล์ มิแรนด้า ด้วย หนังวางกำหนดเข้าฉายไว้ 26 พฤษภาคม 2023
ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Little Mermaid
17. Snow White and the Seven Dwarfs
Snow White and the Seven Dwarfs แอนิเมชั่นเรื่องแรกของดิสนีย์ในปี 1937 ก็กำลังจะกลับคืนสู่จอฟิล์มอีกครั้ง โดยมีข่าวออกมาว่า ทางค่ายกำลังพิจารณาแผนการสร้างหนังมิวสิคัล ไลฟ์-แอ็คชั่นเรื่องนี้อยู่ โดยทาบทามให้ เอริน เครสซิด้า วิลสัน จาก Girl on the Train มาเป็นคนเขียนบท อีกทั้งยังวางแผนจะใช้เนื้อหาและบทเพลงเดิม พร้อมให้ เบนจ์ พาเซ็ค และจัสติน พอล จาก La La Land มาสร้างสรรค์เพลงใหม่เพิ่มด้วย โดยมี เรเชล เซกเลอร์ (Rachel Zegler) รับบทเป็น Snow White และกัล กาดอท (Gal Gadot) มารับบท The Evil Queen วางกำหนดฉายปี 2024
18. Lilo & Stitch
อะโลฮ่า ! นอกจาก Snow White and the Seven Dwarfs แล้ว Lilo & Stitch ก็อยู่ในแผนการพัฒนาเหมือนกันนะ โดยแว่ว ๆ มาว่าจะนำเรื่องราวจาก Lilo & Stitch (2001) มาดัดแปลงใหม่ ซึ่งก็จะเป็นเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเด็กสาวชาวฮาวายกับเอเลี่ยนตัวสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า สติทช์ นั่นเอง
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Lilo & Stitch
19. The Hunchback of Notre Dame
ควอซีโมโดก็กลับมาด้วย ! The Hunchback of Notre Dame เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจาและผลิต โดยได้แรงบันดาลใจมาจากแอนิเมชั่นชื่อเดียวกันในปี 1996 และนวนิยายของวิกตอร์ อูโก สำหรับหน้าที่เขียนบทตกเป็นของ เดวิด เฮนรี หวัง พร้อมการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของสองนักแต่งเพลงชื่อดัง อลัน เมนเคน และสตีเฟน ชวาร์ทซ
20. Pinocchio
อีกหนึ่งการผจญภัยสุดคลาสสิกที่นำกลับมาเล่าใหม่ กับเรื่องราวของหุ่นกระบอกไม้ที่เริ่มต้นการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเด็กผู้ชายจริง ๆ หนังได้ ทอม แฮงส์ มารับบท เจปเปตโต ช่างแกะสลักไม้ที่ปรารถนาจะมีลูก และได้พรจากนางฟ้าที่เสกให้ฝันของเขาเป็นจริง ส่วนบท พินอคคิโอ ได้ เบนจามิน อีแวน เอนส์เวิร์ธ มานำแสดง หนังเป็นผลงานการกำกับของ โรเบิร์ต เซเมกิส ใครที่สนใจสามารถหาชมได้ใน Disney+ Hotstar
21. Tink
ทิงเกอร์เบล นางฟ้าตัวน้อยจากเรื่อง Peter Pan (1953) กำลังจะมีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเอง การันตีความน่าสนใจโดย รีส วิเธอร์สปูน ที่จะมาสวมบทเป็น ทิงเกอร์เบล พร้อมควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ไปในตัว ส่วนคนเขียนบทได้ วิคตอเรีย สเตราส์ จาก Finding Nemo และ Finding Dory มาช่วยดูแล ซึ่งเนื้อหาจะหยิบเรื่องราวที่เราคุ้นเคยจาก Peter Pan กลับมาเล่าในมุมมองใหม่ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ เบื้องต้นวางกำหนดฉายไว้ 2023 ใน Disney+ Hotstar
22. Mufasa: The Lion King
หนังบอกเล่าเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ใน The Lion King เวอร์ชั่น 2019 ที่จะเน้นไปในเรื่องของ มูฟาซา เจ้าป่าผู้ปกครองแดนทรนง พ่อของซิมบ้า ที่ถูกสการ์ น้องชาย วางแผนฆ่าเพื่อชิงบัลลังก์ หนังได้แบร์รี เจนกินส์ (Barry Jenkins) จากภาพยนตร์ระดับออสการ์อย่าง Moonlight (2016) มารับหน้าที่กำกับ วางกำหนดฉายไว้ 2024
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Disney
หนังบอกเล่าเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ใน The Lion King เวอร์ชั่น 2019 ที่จะเน้นไปในเรื่องของ มูฟาซา เจ้าป่าผู้ปกครองแดนทรนง พ่อของซิมบ้า ที่ถูกสการ์ น้องชาย วางแผนฆ่าเพื่อชิงบัลลังก์ หนังได้แบร์รี เจนกินส์ (Barry Jenkins) จากภาพยนตร์ระดับออสการ์อย่าง Moonlight (2016) มารับหน้าที่กำกับ วางกำหนดฉายไว้ 2024
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Disney