
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ปิดฉากลงแล้วสำหรับมหากาพย์การต่อสู้ศึกประลองเวทมนตร์ที่ยาวนานกว่า 8 ภาค สำหรับภาพยนตร์เรื่อง "แฮรี่ พอตเตอร์" ซึ่งหลังจากภาพยนตร์ภาคสุดท้ายได้ลงโรงฉายทั่วโลก เราเชื่อว่านักแสดงทุกคนในเรื่องนี้น่าจะใจหายกันไปไม่น้อย คงจะหวนนึกถึงวันเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมาหลายปีระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ (และเราก็เชื่อว่าเหล่าแฟนคลับ ก็คงจะใจหายไม่น้อยเช่นกัน)
วันนี้เพื่อเอาใจเหล่าแฟนคลับ เราเลยมีบทสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหล่านักแสดงและผู้กำกับคนเก่งจากภาพยนตร์เรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ มาฝากกันค่ะ

เปิดใจนักแสดง แฮร์รี่ พอตเตอร์ : อลัน ริคแมน (เซเวรัส สเนป)

อลัน ริคแมน : ผมไม่รู้ว่าผมเคยฝืนใจด้วยหรอ เราแค่ต้องค่อย ๆ ก้าวต่อไปหาสิ่งที่เราต้องมีส่วนร่วมกับมัน แน่นอนว่าผมพูดว่าผมอยากคุยกับเธอว่าผมต้องแสดงมันอย่างไรก่อนที่ผมจะมารับหน้าที่ เรามีการคุยกันทางโทรศัพท์ เธอไม่ได้บอกผมว่าตอนจบของเรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร ผมเลยซื้อหนังสือมาพร้อมกับคนอื่น ๆ เพื่อค้นหาว่า "แล้วตอนนี้จะเป็นอย่างไร" ไม่เลย เธอให้ข้อมูลผมมาเพียงน้อยนิด ซึ่งผมพูดเสมอว่าผมจะไม่ไปบอกใคร ไม่มีวัน และไม่มีทาง มันไม่ใช่ประเด็นหรือสาระสำคัญของโครงเรื่องในแบบที่แน่ชัดเลย แต่มันเป็นสาระสำคัญสำหรับผม เพราะมันเป็นข้อมูลที่ทำให้ผมอินลึกไปกับบทมากกว่าที่จะแสดงแบบนั้นแบบนี้

อลัน ริคแมน : ผมหวังว่าในท้ายที่สุดแล้วมรดกของเรื่องจะทำให้ผู้คนยึดมั่นในการเล่าเรื่องราว และไม่เอามาเล่าขานกันโดยคนกลุ่มนึง มันคือความเป็นไปได้ที่จะเชื่อมั่นในจินตนาการของการเล่าเรื่องราวจริง จากนั้นก็ทำให้มันเป็นเรื่องที่ควรให้การยกย่องเท่าที่ทำได้ เราอาจจะลงเอยด้วยสิ่งที่สร้างความบันเทิงได้ในอีกด้านหนึ่ง สร้างเงินได้เป็นกองจากผู้อื่น และให้ความสุขที่ไม่ต้องบรรยายแก่เด็ก ๆ และผู้ใหญ่ มันเป็นการให้เหตุผลต่อสิ่งที่เราต้องการ มนุษย์คือคนที่อยากฟังเรื่องราวต่าง ๆ ผมคิดว่ามันไม่อาจกระทำได้โดยคนกลุ่มนึง ผมคิดว่ามันต้องเป็นจินตนาการของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งจุดนี้คือ โจ โรว์ลิ่งและทุกคนที่อาจต้องตามเธอ

เปิดใจนักแสดง แฮร์รี่ พอตเตอร์ : เอ็มม่า วัตสัน (เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์)

เอ็มม่า วัตสัน : มันเป็นเรื่องตลกมาก หนังเรื่องนี้ท้าทายความสามารถของฉันอย่างเหลือเชื่อแบบที่เห็น มันเป็นหนังที่ผลักดันฉันในฐานะนักแสดง แต่ขณะเดียวกันฉันก็ได้ใช้อารมณ์ความรู้สึกแท้จริงที่ฉันรู้สึกเกี่ยวกับความสูญเสียและทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนวันสุดท้าย ฉันใส่ความรู้สึกลงไปในบทบาทได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือฉากที่พวกเรายืนบนสะพานหลังการต่อสู้ ฉันรู้สึกถึงสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่น่าจะรู้สึกได้จริง ๆ มันรู้สึกเหมือน "ว้าว มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ดูทุกอย่างที่เราทำได้สำเร็จสิ" จริง ๆ แล้วฉากถูกสร้างขึ้นมาเหนือ Leavesden Studios ซึ่งเป็นที่ที่ฉันโตขึ้นมา และใช้เวลาอย่างน้อย 12 ปี ฉะนั้นเลยไม่ต้องใช้การแสดงอะไรมากมาย เพราะมันอยู่ที่นั่นสำหรับฉัน

เอ็มม่า วัตสัน : มันเกิดขึ้นตอนที่ฉันอยู่ที่เมืองอันเสื่อมโทรมในบังกลาเทศ มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาขวางแนบนถนนและพูดว่า "เธอเป็นเด็กผู้หญิงจากเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ นี่นา" ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนฉันหนีไปไหนไม่ได้เลย นั่นคือเรื่องประทับใจจากหนังแฟรนไชส์เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก มันมาถึงอีกซีกโลกหนึ่งที่ไกลออกไป เป็นที่ ๆ เราคาดหวังเรื่องนั้นได้น้อยมาก มันรู้สึกเหมือน "ว้าว นี่มันวิเศษไปเลย"

เปิดใจนักแสดง แฮร์รี่ พอตเตอร์ : รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์)

รูเพิร์ท กรินท์ : ผมหวังให้มันนานขึ้นมั้ย [หัวเราะ] ไม่หรอก ไม่เลย บอกตรง ๆ ว่ามันเป็นเรื่องยากที่ให้ทำแบบนั้น ผมรู้จักกับเอ็มม่ามานานมาก และผมว่าพวกเราต่างกลัวฉากนั้นอยู่บ้าง แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี จริงๆ แล้วมันเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอยู่ในหนังสือ ผมว่ามันเป็นฉากที่เดวิดกับสตีฟใส่เข้าไป และทุกอย่างมันก็โอเค มันต้องพยายามทำให้ดูนาเชื่อถือ ดูมีความโรแมนติก เพราะมันก่อตัวขึ้นมานานหลายปีแล้ว และเราอยากให้ทุกคนคิดว่าเราอยากจูบกันจริง ๆ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เราไม่ได้อยากจูบกันเลย ซึ่งมันก็โอเคนะ เป็นช่วงเวลาที่ดี หวังว่าทุกคนจะเชื่อในฉากนั้น

รูเพิร์ท กรินท์ : ผมรู้สึกเสมอว่าผมค่อนข้างเชื่อมโยงถึงรอนได้อย่างใกล้ชิด แม้แต่ก่อนจะมีหนังด้วยซ้ำ 10 ปีที่ผ่านมาผมแสดงเป็นคนเดิมแบบนี้ทุกวัน ผมคิดว่าเราแสดงแบบธรรมชาติที่หล่อหลอมเข้าไปในตัวเขา และเหมือนเรากลายเป็น "รอนเพิร์ท" ไปแล้ว ซึ่งผมคิดว่ามันคงอยู่กับผมไปอีกพักหนึ่ง [หัวเราะ] ผมว่ามันคงมีเสี้ยวหนึ่งของรอนอยู่ในตัวผมไปตลอดชีวิตที่เหลือล่ะ

เปิดใจนักแสดง แฮร์รี่ พอตเตอร์ : ทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย)

ทอม เฟลตัน : ใช่ครับ ผมไม่เคยอ่านหนังสือมา ผมไม่รู้ว่าแฮร์รี่ รอน เดรโกเป็นอย่างไร บอกตามตรงว่าผมแทบไม่มีเบาะแสอะไรเลย ผมคิดว่าผมจะได้แสดงเป็นแฮกริดผู้ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นมัน [หัวเราะ] ไม่หรอก ผมสนุกมากกับครอบครัวมัลฟอยจริง ๆ นะ สิ่งเดียวที่ผมจะจินตนาการได้คือการแสดงเป็นพ่อของผมในหนังรีเมคอีก 20 ปีข้างหน้าหรืออะไรทำนองนั้น ไม่ใช่แค่ผมมองตัวเองในบทบาทตัวละครอื่นไม่ออกนะ แต่ตัวละครที่พวกเขาแสดงเป็นแฮร์รี่ รอนและที่เหลือล้วนเป็นที่จดจำแล้ว ผมไม่อาจไปลบล้างการแสดงทั้งหมดนั่นได้แน่นอน

ทอม เฟลตัน : ไม่ได้เรียกเจาะจงแบบนั้น แต่คงไม่ต้องบอกเลยว่าเรามีเด็ก ๆ และผู้ใหญ่นับร้อยที่มาทัวร์รอบฉากแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทุกวัน และโดยปกติแล้วไม่มีเด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ปีคนไหนที่อยากมายุ่งกับผม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมกังวลอยู่บ้างในช่วงแรก ๆ
พวกเขาจะตื่นเต้นกันเวลาที่ได้พบกับ แดเนียล แรดคลิฟฟ์, รูเพิร์ท กรินท์ และเอ็มม่า วัตสัน แล้วก็จะไปหลบอยู่หลังขาพ่อแม่ทันทีเมื่อมาถึงผม และผมเองก็คงจะหลบหลังพ่อแม่ ผมต้องทำตัวเป็นมิตรสุด ๆ ว่า "สวัสดี ดีใจที่ได้เจอทุกคนนะ" และพวกเขาก็พูดว่า "โอ้พระเจ้า แปลกจัง" [หัวเราะ]
เจสันวางตัวได้ดีมาก เขาคงความเป็นตัวละครเอาไว้และพวกเขาก็รักมัน ผมรักที่จะรับมันไว้เป็นความชมเชยตลอดช่วงเฝลาหลายปี อันที่จริงแล้วเด็ก ๆ ค่อนข้างทำให้ผมกลัว แต่ยังไม่มีใครตะโกนต่อว่าที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ผมคอยเลี่ยงเรื่องนั้นอยู่

เปิดใจผู้กำกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ : เดวิด เยทส์

เดวิด เยทส์ : ผมชอบหลายฉากในหนัง แต่ฉากที่ผมสนุกมาก ๆ และภาคภูมิใจมาก ผมคิดว่าเป็นฉากสุดท้ายที่ King’s Cross สำหรับผมมันเป็นฉากที่เร้าอารมณ์มาก ไม่มีเวทมนตร์อะไรมากในฉากนั้น แต่มันรู้สึกมีมนตร์สะกดมาก ส่วนฉากที่ท้าทายความสามารถที่สุดเป็นฉากตู้นิรภัยที่ธนาคารกริงกอตส์ น่าแปลกที่มันดูไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก แต่พอนักแสดงทั้งสามเข้ามาในห้องขนาดเล็กและทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเริ่มพอกพูนขึ้นมา เราต้องออกแบบพื้นไฮทรอลิคที่ต้องยกพวกสมบัตินั้นขึ้นมา เราต้องนึกภาพวิธีที่จะยกกล้องขึ้นตรงนั้น และมันเป็นฉากที่ปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา ต้องใช้เวลาวางแผนอยู่เดือนแล้วเดือนเล่าทั้ง ๆ ที่มีความยาวแค่ 2 นาทีครึ่ง เป็นฉากที่ยากเหมือนกัน

เดวิด เยทส์ : ว้าว เป็นคำถามที่ดีนะ ผมรู้สึกกดดันมากและกดดันทุกครั้งที่เราต้องสร้างหนัง โดยเฉพาะหนังเรื่องนี้เพราะผมเดาว่ามันเป็นเหมือนตำนานแห่งการสร้างภาพยนตร์เลยนะ แต่รู้มั้ยว่าเราต้องทำอะไร เราทำได้แค่ออกไปทำงาน และพยายามถ่ายทอดเรื่องราวในทุกวันให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ช่วงเวลาที่เราเริ่มคิดถึงมัน มันก็อาจทำลายเราแล้ว ผมเลยตั้งใจออกไปทำงาน อยากทำหนังให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยไม่คิดถึงเรื่องประวัติศาสตร์ของหนัง หรือคิดถึงเรื่องผู้ชมจะยอมรับหรือตอบรับหนังอย่างไร ผมแค่อยากถ่ายทอดเรื่องราวให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ผมเดาว่านั่นคือวิธีจัดการกับความกดดันของผมนะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
