ฉลองครบรอบ 25 ปี Jurassic Park กับ 10 เรื่องน่าสนใจจากโลกไดโนเสาร์สุดยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวในฮอลลีวูด
จากหนังสือเทคโนโลยี-ระทึกขวัญ สู่ภาพยนตร์แอ็คชั่น-ผจญภัยที่ครองใจคอหนังทั่วโลกมาแล้วกว่า 25 ปี.. หนังไตรภาค Jurassic Park คือผู้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่จับเอาจินตนาการของทุกคนมาอยู่ในโลกที่เหล่าไดโนเสาร์อันเป็นที่รักยังมีลมหายใจและอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกับมนุษย์ จนประสบความสำเร็จโด่งดัง สานต่อเรื่องราวเข้าสู่ไตรภาคที่สอง Jurassic World ในปัจจุบัน
วันนี้กระปุกดอทคอมเลยถือโอกาสเชิญชวนทุกคนร่วมย้อนความทรงจำไปยังยุคริเริ่มก่อสร้างแฟรนไชส์อันโด่งดัง ด้วย 10 เรื่องน่าสนใจ ตั้งแต่แรงบันดาลใจในการสร้างของนักเขียนหนังสือต้นฉบับ ไมเคิล คริชตัน (Michael Crichton) การร่วมงานของเขากับ สตีเว่น สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ไปจนถึงเบื้องหลังการสร้างที่ แม้จะมีอุปสรรคไปบ้าง แต่ก็ละเมียดละไมสมกับเป็นผลงานของพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูดจริง ๆ
1. สวนสนุกจูราสสิค Jurassic Park
วันที่ 11 มิถุนายน 1993 คือวันที่ปฐมบท Jurassic Park ส่งโลกดึกดำบรรพ์ของเหล่าไดโนเสาร์สู่สายตาทั่วโลกเป็นครั้งแรก ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ชวนระทึกขวัญ และตื่นตาตื่นใจ รวมถึงการแสดงเจ๋ง ๆ ของทีมนักแสดงเบอร์ต้นของวงการสมัยนั้นอย่าง แซม นีล (Sam Neill), ลอว์ร่า เดิร์น (Laura Dern), เจฟฟ์ โกลด์บลัม (Jeff Goldblum) และริชาร์ด แอตเทนโบโรค (Richard Attenborough) ทำให้ทีมตัวละครนักวิทยาศาสตร์หัวใส ดร.อลัน แกรนท์, ดร.เอลลี แซตต์เลอร์, ดร.เอียน มัลคอล์ม และจอห์น แฮมมอนด์ กลายเป็นไอคอนประจำโลกดึกดำบรรพ์ พาหนังกวาดรายได้ทั่วโลกอย่างถล่มทลายถึง 1,029 ล้านเหรียญสหรัฐ (33,094 ล้านบาท)
ตามด้วยภาคต่อ The Lost World: Jurassic Park (1997) กับรายได้ 618 ล้านเหรียญสหรัฐ (19,873 ล้านบาท) ก่อนปิดท้ายไตรภาค Jurassic Park III (2001) ฉบับฝีมือผู้กำกับ โจ จอห์นตัน (Joe Johnston) ด้วยรายได้ที่ลดลงอย่างน่าใจหาย 368 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,833 ล้านบาท) บอกลาสัตว์โลกยุคเก่าแก่ไปแบบไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก
2. หนังสือ Jurassic Park ได้ไอเดียจากงานวิจัย \'แมลงวันในหินอำพัน\' ของนักบรรพชีวินตัวจริง
แม้ ไมเคิล คริชตัน (Michael Crichton) จะตัดสินใจแน่แล้วว่าจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์ แต่ก็ต้องพบอุปสรรคครั้งใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนคืนชีพเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จนกระทั่งได้อ่านงานวิจัยของ จอร์จ พอยนาร์ (George Poinar) ที่อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบว่า หินอำพันบอลติก (Baltic Amber) มีคุณลักษณะสามารถเก็บรักษาโครงสร้างภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ภายในได้อย่างครบถ้วนแม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายล้านปี โดยนำหลักฐาน \'แมลงวันในหินอำพันบอลติก\' มาใช้เป็นกรณีศึกษา ไมเคิล คริชตัน จึงนำข้อมูลนี้มาดัดแปลงเป็นไอเดียในการหยิบ DNA ไดโนเสาร์จากเลือดในตัวของยุงที่กัดพวกมัน ซึ่งเป็นยุงที่ถูกกาลเวลาสตัฟฟ์เอาไว้ในหินอำพันนั่นเอง (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Science Friday.com)
3. สงครามแย่งชิง Jurassic Park
สตีเว่น สปีลเบิร์ก และ ไมเคิล คริชตัน พบกันครั้งแรกเมื่อปี 1968 ในฐานะผู้กำกับมือใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับ Universal Pictures และนักเขียนที่เพิ่งขายลิขสิทธิ์หนังสือของเขาให้กับทางสตูดิโอ ก่อนจะโคจรมาร่วมงานกันในซีรีส์ ER ในฐานะผู้กำกับมือทองและนักเขียนมากประสบการณ์ในปี 1989 ทั้งสองได้พูดคุยเกี่ยวกับงานชิ้นใหม่ของ ไมเคิล คริชตัน ที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก รับประกันหลังจากได้อ่านเนื้อเรื่องคร่าว ๆ เอาไว้ว่า "จะมีสงครามแย่งชิงหนังสือเรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน ผมรับประกัน" และสัญชาตญาณของ สปีลเบิร์ก นั้นไม่เคยผิดเพี้ยน..
ทันทีที่ลิขสิทธิ์ Jurassic Park ประกาศขาย (ตั้งราคาอย่างต่ำไว้ที่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 64 ล้านบาท) สตูดิโอใหญ่มากมายแห่งวงการฮอลลีวูดก็รีบเข้ามาเสนองานสร้างทันที เริ่มตั้งแต่ Warner Bros. Pictures กับแผนสร้างหนังสยองขวัญ คืนชีพไดโนเสาร์ด้วยเทคนิค Stop-Motion โดยผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ที่มี จอห์นนี เดปป์ (Johny Depp) แสดงเป็น เวโลซิแร็พเตอร์ (Velociraptor) รวมถึง 20th Century Fox กับผู้กำกับ โจ ดันเต้ (Joe Dante) เจ้าของผลงาน Gremlins และ Columbia Pictures กับผู้กำกับ ริชาร์ด ดอนเนอร์ (Richard Donner) เจ้าของผลงาน Superman II และ Lethal Weapon (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Games Radar)
แต่สุดท้ายแล้ว ไมเคิล คริชตัน ก็ตกลงขายลิขสิทธิ์ให้กับ Universal Pictures โดยเจาะจงให้ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับ ในขณะเดียวกันทางสตูดิโอก็เสนอให้ตัวเขาเองรับหน้าที่เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เช่นกัน
4. เมื่อเหล่านักสร้างมาพบกันจึงเกิดเป็น \'โลกแห่งความฝันที่เกิดขึ้นจริงในจอยักษ์\'
- เดวิด คอปป์ (Devid Koepp) รับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ ไมเคิล คริชตัน โดยเขาเป็นคนช่วยสรรค์สร้างให้ภาพไอเดียในหัวของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก อย่าง \'ภาพเหล่าไดโนเสาร์สื่อสารกันใต้ฟ้าสว่างจ้า\', \'ฉากไออุ่นบนหน้าต่างจากลมหายใจของไดโนเสาร์\' และ \'ภาพรอยเท้าขนาดมหึมาที่ประทับอยู่ในโคลน\' เหล่านั้นเกิดขึ้นจริง (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Mental Floss)
- สแตน วินสตัน (Stan Winston) รับหน้าที่สร้างหุ่นเชิดไดโนเสาร์จากคำเชิญชวนของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก "ถ้าคุณสามารถสร้างนางพญาเอเลี่ยน ขนาด 14 ฟุตได้ คุณก็ต้องสร้าง ที-เร็กซ์ ขนาด 20 ฟุตได้เหมือนกัน" โดยพวกเขาใช้ดินเหนียวเป็นวัสดุหลักในการสร้าง ทั้งนี้ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex) และเวโลซิแร็พเตอร์ (Velociraptor) คือไดโนเสาร์เพียงไม่กี่สายพันธุ์ที่ได้สร้างเป็นหุ่นเชิดทั้งตัวและมีคนจริง ๆ อยู่ข้างใน ขณะที่สายพันธุ์ขนาดใหญ่จะสร้างเพียงอวัยวะบางส่วนแล้วไปตบแต่งด้วยเทคนิคพิเศษในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่น หุ่นเชิดของ แบรคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ที่มีความยาวส่วนศีรษะถึงลำคอมากกว่า 2 เมตรด้วยกัน
- ไมเคิล แลนทิรี่ (Michael Lantieri), ฟิล ทิปเพตต์ (Phil Tippet) และ เดนนิส เมอร์เรน (Dennis Muren) ทีมงานฝ่ายดูแลเทคนิค CGI, Go-Motion และเทคนิคตัดต่อพิเศษ เพื่อเก็บรายละเอียดช่วยให้ภาพของโลกดึกดำบรรพ์ออกมาสมจริงยิ่งขึ้น การันตีฝีมือด้วยผลงานดังมากมายของพวกเขาอย่าง Indiana Jones, Back to the Future, Return of the Jedi และ E.T.
5. Jurassic Park กับ 2 ที่ปรึกษานักบรรพชีวิน
นักบรรพชีวิน แจ็ค ฮอร์เนอร์ (Jack Horner) ถูกเรียกตัวมายังกองถ่ายในฐานะที่ปรึกษา คอยควบคุมและตรวจเช็กว่า เหล่าไดโนเสาร์ในภาพยนตร์นั้นสร้างออกมาได้สมจริง มีลักษณะท่าทางและอุปนิสัยตามหลักวิทยาศาสตร์ครบถ้วนหรือไม่ ในขณะที่ข้อมูลหนังสือ Raptor Red ของ โรเบิร์ต ที. แบคเกอร์ (Robert T. Bakker) เกี่ยวกับเหล่าไดโนเสาร์มาใช้ศึกษาและอ้างอิงอย่างละเอียด รวมถึงเรียกตัว โรเบิร์ต มาตรวจเช็กรูปร่างฟัน ผิวหนัง และองค์ประกอบของไดโนเสาร์อาทิตย์ละครั้งติดต่อกันนานหลายเดือน
ทั้งนี้ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ไม่ได้อิงข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น การสร้างให้รูปทรงฟันและเขี้ยวของเจ้าที-เร็กซ์ออกมาแหลมคมดูน่ากลัว แทนที่จะสร้างตามต้นฉบับของ โรเบิร์ต ที่รูปทรงฟันของมันมีลักษณะเหมือนผลกล้วย (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Mental Floss)
6. กองถ่าย Jurassic Park กับเฮอร์ริเคนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
จากคำบอกเล่าของหนึ่งในนักแสดงนำ ลอว์ร่า เดิร์น (Laura Dern) ต่อเว็บไซต์ Moveline เกาะคาไว (Kaua\'i) ในฮาวาย อันเป็นสถานที่ถ่ายทำ Jurassic Park เมื่อปี 1992 ถูกพายุเฮอร์ริเคนขนาดยักษ์ เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 145 ไมล์/ชม. ปะทะเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้นักแสดงและทีมงานทั้งหมดติดอยู่ในที่พักโดยไม่มีอาหารและน้ำนานหลายวัน โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรแต่อย่างใดเพราะพายุในครั้งนั้นถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
7. จอร์จ ลูคัส (George Lucas) พระเอกขี่ม้าขาวของ Jurassic Park
หลังจากปิดกล้อง Jurassic Park ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1992 สตีเว่น สปีลเบิร์ก มีเวลาพักเพียง 12 วันก่อนต้องรีบเตรียมสร้างผลงานเรื่องถัดไปอย่าง Schindler\'s List ที่มีกำหนดเปิดกล้องในอีกไม่กี่เดือนถัดจากนั้น ด้วยตารางงานที่แน่นเอี๊ยดจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สตีเว่น ตัดสินใจส่งต่อขั้นตอนเก็บรายละเอียดหลังการถ่ายทำให้กับเพื่อนสนิทของเขา จอร์จ ลูคัส เราจึงได้เห็นชื่อของเจ้าพ่อ Star Wars คนนี้ใน End Credits ส่วน \'Special Thanks\' (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Mental Floss)
8. เสียงประสานของสัตว์นานาชนิดกลายมาเป็นเสียงคำรามก้องของไดโนเสาร์
เป็นเรื่องน่าสนใจมากทีเดียวที่เสียงคำรามอย่างดุดันของไดโนเสาร์ใน Jurassic Park มาจากการที่ทีมงานฝ่ายควบคุมเสียง แกรี่ ไรด์สตรอม (Gary Rydstrom) ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เพื่ออัดเสียงของสัตว์หลากหลายชนิดด้วยตัวเองและนำเสียงเหล่านั้นมาผสมผสานเข้าด้วยกันให้เป็นเสียงของไดโนเสาร์อีกที โดย แกรี่ เผยความลับชวนหัวเราะว่า เสียงของไดโนเสาร์บางสายพันธุ์นั้นมาจากเสียงของ \'เพื่อนของเขาชื่อ ดีทริค สมิธ\' และ \'สัตว์ที่กำลังผสมพันธุ์กัน !\' (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Vulture)
และไดโนเสาร์ตัวนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสายพันธุ์ขวัญใจแฟนคลับอย่าง เวโลซิแร็พเตอร์ ที่เสียงของมันนั้นมีที่มาจากเสียงของเต่าสองตัวที่กำลังผสมพันธุ์กัน รวมกับเสียของ ม้า ห่าน โลมา และวอลรัส นั่นเอง นอกจากนี้ แกรี่ ยังเผยที่มาของเสียงไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ ไว้อีกด้วย
- แกลลิไมมัส: เสียงร้องอย่างตื่นกลัวของม้าป่า
- ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์: เสียงสุนัขพันธุ์แจ็ค รัสเซลล์ (สัตว์เลี้ยงของแกรี่), ลูกช้าง, สิงโต
- แบรคิโอซอรัส: เสียงลา
- ไทรเซอราท็อปส์: เสียงวัว, เสียงดีทริค สมิธ
- เบบี้แร็พเตอร์: เสียงลูกนกฮูก, ลูกจิ้งจอก, ลูกของสัตว์ชนิดอื่น ๆ
- ไดโลโฟซอรัส: เสียงห่าน, จระเข้, งูหางกระดิ่ง, เหยี่ยว
9. Jurassic Park เจ้าแห่งการตลาด
Jurassic Park นับเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ใช้งบสร้างแคมเปญโฆษณาและงานโปรโมทสูงที่สุดในวงการเลยก็ว่าได้ เพราะ Universal Pictures ให้ทุนในส่วนนี้มากถึง 65 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,090 ล้านบาท) แถมด้วยการดีลกับกิจการมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และสินค้าอีกมากกว่า 1,000 รายการเกี่ยวกับโลกจูราสสิค ตั้งแต่ \'เซตอาหารขนาดใหญ่พิเศษเท่าไดโนเสาร์\' ของแมคโดนัลด์ ไปจนถึง ถุงนอนลายไดโนเสาร์ กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ สวนสนุก Universal Studios ยังลงทุนสร้างเครื่องเล่น Jurassic Park: The Ride อีก 110 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,537 ล้านบาท) ในปี 1996 อีกด้วย (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Cineplex)
10. จาก \'Jurassic Park\' สู่ \'Jurassic World\'
เว้นระยะจากภาคสุดท้ายของไตรภาคที่แล้วมาอีก 14 ปี สวรรค์ของนักท่องเที่ยวสายลุย Jurassic Park ถูกพลิกโฉมใหม่ด้วยปฐมบทไตรภาคต่อมา Jurassic World (2015) ด้วยฝีมือของผู้กำกับ โคลิน เทรเวอร์โรว์ (Colin Treverrow) ผู้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำพูดของ ดร.เอียน มัลคอล์ม "คุณยืนอยู่บนบ่าของอัจฉริยะเพื่อทำบางอย่างให้สำเร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ แต่ก่อนที่จะได้รู้ว่าสิ่งนั้นมีดีอะไร คุณกลับจดลิขสิทธิ์มัน สร้างบรรจุภัณฑ์ให้มัน โยนมันใส่กล่องข้าวพลาสติก แล้วตอนนี้คุณก็จะขายมันเนี่ยนะ (You stood on the shoulders of geniuses to accomplish something as fast as you could, and before you even knew what you had, you patented it, and packaged it, and slapped it on a plastic lunchbox, and now you wanna sell it)"
ซึ่งนั่นคือที่มาของสวนสนุก Jurassic World สถานที่ซึ่งรวบรวมไดโนเสาร์เข้าไว้ด้วยกันทั้งสายพันธุ์ที่ทุกคนคุ้นตา รวมถึงสายพันธุ์ไฮบริดใหม่ที่ทำให้แฟรนไชส์ไดโนเสาร์ภาคต่อนี้มีดีกรีความระทึกขวัญ น่าตื่นตาตื่นใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจนสามารถกลับมาทวงบัลลังก์หนังยอดเยี่ยมได้อีกครั้งด้วยรายได้ที่สูงถึง 1,671 ล้านเหรียญสหรัฐ (53,757 ล้านบาท) เบิกทางให้ภาคต่อ Jurassic World: Fallen Kingdom ที่กำลังเข้าโรงฉายทั่วโลกวันนี้ได้อย่างสวยงาม พร้อมแผนปิดฉากโลกดึกดำบรรพ์อีกครั้งด้วยบทสรุปที่รับรองว่าต้องติดอยู่ในใจของแฟน ๆ อีกครั้งใน Jurassic World 3 วางกำหนดฉายไว้วันเดียวกับวันที่เราได้รู้จักโลกอันน่าอัศจรรย์ครั้งแรก 11 มิถุนายน 2021 (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Comingsoon)
อ่านเพิ่มเติม
- Jurassic World 3 จะเป็นหนังแนวเดียวกับ Jurassic Park
- ดร.อลัน แกรนท์ อาจหวนคืนโลกไดโนเสาร์ ใน Jurassic World 3 !?
ร่วมเฉลิมฉลองการเดินทางอันแสนยาวนาน สัมผัสเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปแต่คงไว้ซึ่งกลิ่นอายเดิม ใน Jurassic World: Fallen Kingdom หนังจากไตรภาคชุดต่อเนื่องจากโลก Jurassic Park ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วไทย
1. สวนสนุกจูราสสิค Jurassic Park
วันที่ 11 มิถุนายน 1993 คือวันที่ปฐมบท Jurassic Park ส่งโลกดึกดำบรรพ์ของเหล่าไดโนเสาร์สู่สายตาทั่วโลกเป็นครั้งแรก ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ชวนระทึกขวัญ และตื่นตาตื่นใจ รวมถึงการแสดงเจ๋ง ๆ ของทีมนักแสดงเบอร์ต้นของวงการสมัยนั้นอย่าง แซม นีล (Sam Neill), ลอว์ร่า เดิร์น (Laura Dern), เจฟฟ์ โกลด์บลัม (Jeff Goldblum) และริชาร์ด แอตเทนโบโรค (Richard Attenborough) ทำให้ทีมตัวละครนักวิทยาศาสตร์หัวใส ดร.อลัน แกรนท์, ดร.เอลลี แซตต์เลอร์, ดร.เอียน มัลคอล์ม และจอห์น แฮมมอนด์ กลายเป็นไอคอนประจำโลกดึกดำบรรพ์ พาหนังกวาดรายได้ทั่วโลกอย่างถล่มทลายถึง 1,029 ล้านเหรียญสหรัฐ (33,094 ล้านบาท)
ตามด้วยภาคต่อ The Lost World: Jurassic Park (1997) กับรายได้ 618 ล้านเหรียญสหรัฐ (19,873 ล้านบาท) ก่อนปิดท้ายไตรภาค Jurassic Park III (2001) ฉบับฝีมือผู้กำกับ โจ จอห์นตัน (Joe Johnston) ด้วยรายได้ที่ลดลงอย่างน่าใจหาย 368 ล้านเหรียญสหรัฐ (11,833 ล้านบาท) บอกลาสัตว์โลกยุคเก่าแก่ไปแบบไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก
2. หนังสือ Jurassic Park ได้ไอเดียจากงานวิจัย \'แมลงวันในหินอำพัน\' ของนักบรรพชีวินตัวจริง
แม้ ไมเคิล คริชตัน (Michael Crichton) จะตัดสินใจแน่แล้วว่าจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับไดโนเสาร์ แต่ก็ต้องพบอุปสรรคครั้งใหญ่เพราะไม่รู้ว่าจะใช้วิธีไหนคืนชีพเหล่าสัตว์ดึกดำบรรพ์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จนกระทั่งได้อ่านงานวิจัยของ จอร์จ พอยนาร์ (George Poinar) ที่อธิบายเกี่ยวกับการค้นพบว่า หินอำพันบอลติก (Baltic Amber) มีคุณลักษณะสามารถเก็บรักษาโครงสร้างภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่ติดอยู่ภายในได้อย่างครบถ้วนแม้จะผ่านมาเนิ่นนานหลายล้านปี โดยนำหลักฐาน \'แมลงวันในหินอำพันบอลติก\' มาใช้เป็นกรณีศึกษา ไมเคิล คริชตัน จึงนำข้อมูลนี้มาดัดแปลงเป็นไอเดียในการหยิบ DNA ไดโนเสาร์จากเลือดในตัวของยุงที่กัดพวกมัน ซึ่งเป็นยุงที่ถูกกาลเวลาสตัฟฟ์เอาไว้ในหินอำพันนั่นเอง (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Science Friday.com)
3. สงครามแย่งชิง Jurassic Park
สตีเว่น สปีลเบิร์ก และ ไมเคิล คริชตัน พบกันครั้งแรกเมื่อปี 1968 ในฐานะผู้กำกับมือใหม่ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับ Universal Pictures และนักเขียนที่เพิ่งขายลิขสิทธิ์หนังสือของเขาให้กับทางสตูดิโอ ก่อนจะโคจรมาร่วมงานกันในซีรีส์ ER ในฐานะผู้กำกับมือทองและนักเขียนมากประสบการณ์ในปี 1989 ทั้งสองได้พูดคุยเกี่ยวกับงานชิ้นใหม่ของ ไมเคิล คริชตัน ที่ สตีเว่น สปีลเบิร์ก รับประกันหลังจากได้อ่านเนื้อเรื่องคร่าว ๆ เอาไว้ว่า "จะมีสงครามแย่งชิงหนังสือเรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน ผมรับประกัน" และสัญชาตญาณของ สปีลเบิร์ก นั้นไม่เคยผิดเพี้ยน..
ทันทีที่ลิขสิทธิ์ Jurassic Park ประกาศขาย (ตั้งราคาอย่างต่ำไว้ที่ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 64 ล้านบาท) สตูดิโอใหญ่มากมายแห่งวงการฮอลลีวูดก็รีบเข้ามาเสนองานสร้างทันที เริ่มตั้งแต่ Warner Bros. Pictures กับแผนสร้างหนังสยองขวัญ คืนชีพไดโนเสาร์ด้วยเทคนิค Stop-Motion โดยผู้กำกับ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ที่มี จอห์นนี เดปป์ (Johny Depp) แสดงเป็น เวโลซิแร็พเตอร์ (Velociraptor) รวมถึง 20th Century Fox กับผู้กำกับ โจ ดันเต้ (Joe Dante) เจ้าของผลงาน Gremlins และ Columbia Pictures กับผู้กำกับ ริชาร์ด ดอนเนอร์ (Richard Donner) เจ้าของผลงาน Superman II และ Lethal Weapon (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Games Radar)
แต่สุดท้ายแล้ว ไมเคิล คริชตัน ก็ตกลงขายลิขสิทธิ์ให้กับ Universal Pictures โดยเจาะจงให้ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับ ในขณะเดียวกันทางสตูดิโอก็เสนอให้ตัวเขาเองรับหน้าที่เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์เช่นกัน
4. เมื่อเหล่านักสร้างมาพบกันจึงเกิดเป็น \'โลกแห่งความฝันที่เกิดขึ้นจริงในจอยักษ์\'
- เดวิด คอปป์ (Devid Koepp) รับหน้าที่เขียนบทร่วมกับ ไมเคิล คริชตัน โดยเขาเป็นคนช่วยสรรค์สร้างให้ภาพไอเดียในหัวของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก อย่าง \'ภาพเหล่าไดโนเสาร์สื่อสารกันใต้ฟ้าสว่างจ้า\', \'ฉากไออุ่นบนหน้าต่างจากลมหายใจของไดโนเสาร์\' และ \'ภาพรอยเท้าขนาดมหึมาที่ประทับอยู่ในโคลน\' เหล่านั้นเกิดขึ้นจริง (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Mental Floss)
- สแตน วินสตัน (Stan Winston) รับหน้าที่สร้างหุ่นเชิดไดโนเสาร์จากคำเชิญชวนของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก "ถ้าคุณสามารถสร้างนางพญาเอเลี่ยน ขนาด 14 ฟุตได้ คุณก็ต้องสร้าง ที-เร็กซ์ ขนาด 20 ฟุตได้เหมือนกัน" โดยพวกเขาใช้ดินเหนียวเป็นวัสดุหลักในการสร้าง ทั้งนี้ ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ (Tyrannosaurus Rex) และเวโลซิแร็พเตอร์ (Velociraptor) คือไดโนเสาร์เพียงไม่กี่สายพันธุ์ที่ได้สร้างเป็นหุ่นเชิดทั้งตัวและมีคนจริง ๆ อยู่ข้างใน ขณะที่สายพันธุ์ขนาดใหญ่จะสร้างเพียงอวัยวะบางส่วนแล้วไปตบแต่งด้วยเทคนิคพิเศษในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่น หุ่นเชิดของ แบรคิโอซอรัส (Brachiosaurus) ที่มีความยาวส่วนศีรษะถึงลำคอมากกว่า 2 เมตรด้วยกัน
- ไมเคิล แลนทิรี่ (Michael Lantieri), ฟิล ทิปเพตต์ (Phil Tippet) และ เดนนิส เมอร์เรน (Dennis Muren) ทีมงานฝ่ายดูแลเทคนิค CGI, Go-Motion และเทคนิคตัดต่อพิเศษ เพื่อเก็บรายละเอียดช่วยให้ภาพของโลกดึกดำบรรพ์ออกมาสมจริงยิ่งขึ้น การันตีฝีมือด้วยผลงานดังมากมายของพวกเขาอย่าง Indiana Jones, Back to the Future, Return of the Jedi และ E.T.
5. Jurassic Park กับ 2 ที่ปรึกษานักบรรพชีวิน
นักบรรพชีวิน แจ็ค ฮอร์เนอร์ (Jack Horner) ถูกเรียกตัวมายังกองถ่ายในฐานะที่ปรึกษา คอยควบคุมและตรวจเช็กว่า เหล่าไดโนเสาร์ในภาพยนตร์นั้นสร้างออกมาได้สมจริง มีลักษณะท่าทางและอุปนิสัยตามหลักวิทยาศาสตร์ครบถ้วนหรือไม่ ในขณะที่ข้อมูลหนังสือ Raptor Red ของ โรเบิร์ต ที. แบคเกอร์ (Robert T. Bakker) เกี่ยวกับเหล่าไดโนเสาร์มาใช้ศึกษาและอ้างอิงอย่างละเอียด รวมถึงเรียกตัว โรเบิร์ต มาตรวจเช็กรูปร่างฟัน ผิวหนัง และองค์ประกอบของไดโนเสาร์อาทิตย์ละครั้งติดต่อกันนานหลายเดือน
ทั้งนี้ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ไม่ได้อิงข้อมูลตามหลักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเสมอไป ยกตัวอย่างเช่น การสร้างให้รูปทรงฟันและเขี้ยวของเจ้าที-เร็กซ์ออกมาแหลมคมดูน่ากลัว แทนที่จะสร้างตามต้นฉบับของ โรเบิร์ต ที่รูปทรงฟันของมันมีลักษณะเหมือนผลกล้วย (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Mental Floss)
6. กองถ่าย Jurassic Park กับเฮอร์ริเคนที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
จากคำบอกเล่าของหนึ่งในนักแสดงนำ ลอว์ร่า เดิร์น (Laura Dern) ต่อเว็บไซต์ Moveline เกาะคาไว (Kaua\'i) ในฮาวาย อันเป็นสถานที่ถ่ายทำ Jurassic Park เมื่อปี 1992 ถูกพายุเฮอร์ริเคนขนาดยักษ์ เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 145 ไมล์/ชม. ปะทะเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้นักแสดงและทีมงานทั้งหมดติดอยู่ในที่พักโดยไม่มีอาหารและน้ำนานหลายวัน โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรแต่อย่างใดเพราะพายุในครั้งนั้นถูกบันทึกไว้ว่ารุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
7. จอร์จ ลูคัส (George Lucas) พระเอกขี่ม้าขาวของ Jurassic Park
หลังจากปิดกล้อง Jurassic Park ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 1992 สตีเว่น สปีลเบิร์ก มีเวลาพักเพียง 12 วันก่อนต้องรีบเตรียมสร้างผลงานเรื่องถัดไปอย่าง Schindler\'s List ที่มีกำหนดเปิดกล้องในอีกไม่กี่เดือนถัดจากนั้น ด้วยตารางงานที่แน่นเอี๊ยดจนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สตีเว่น ตัดสินใจส่งต่อขั้นตอนเก็บรายละเอียดหลังการถ่ายทำให้กับเพื่อนสนิทของเขา จอร์จ ลูคัส เราจึงได้เห็นชื่อของเจ้าพ่อ Star Wars คนนี้ใน End Credits ส่วน \'Special Thanks\' (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Mental Floss)
8. เสียงประสานของสัตว์นานาชนิดกลายมาเป็นเสียงคำรามก้องของไดโนเสาร์
เป็นเรื่องน่าสนใจมากทีเดียวที่เสียงคำรามอย่างดุดันของไดโนเสาร์ใน Jurassic Park มาจากการที่ทีมงานฝ่ายควบคุมเสียง แกรี่ ไรด์สตรอม (Gary Rydstrom) ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เพื่ออัดเสียงของสัตว์หลากหลายชนิดด้วยตัวเองและนำเสียงเหล่านั้นมาผสมผสานเข้าด้วยกันให้เป็นเสียงของไดโนเสาร์อีกที โดย แกรี่ เผยความลับชวนหัวเราะว่า เสียงของไดโนเสาร์บางสายพันธุ์นั้นมาจากเสียงของ \'เพื่อนของเขาชื่อ ดีทริค สมิธ\' และ \'สัตว์ที่กำลังผสมพันธุ์กัน !\' (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Vulture)
และไดโนเสาร์ตัวนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นสายพันธุ์ขวัญใจแฟนคลับอย่าง เวโลซิแร็พเตอร์ ที่เสียงของมันนั้นมีที่มาจากเสียงของเต่าสองตัวที่กำลังผสมพันธุ์กัน รวมกับเสียของ ม้า ห่าน โลมา และวอลรัส นั่นเอง นอกจากนี้ แกรี่ ยังเผยที่มาของเสียงไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ ไว้อีกด้วย
- แกลลิไมมัส: เสียงร้องอย่างตื่นกลัวของม้าป่า
- ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์: เสียงสุนัขพันธุ์แจ็ค รัสเซลล์ (สัตว์เลี้ยงของแกรี่), ลูกช้าง, สิงโต
- แบรคิโอซอรัส: เสียงลา
- เบบี้แร็พเตอร์: เสียงลูกนกฮูก, ลูกจิ้งจอก, ลูกของสัตว์ชนิดอื่น ๆ
- ไดโลโฟซอรัส: เสียงห่าน, จระเข้, งูหางกระดิ่ง, เหยี่ยว
Jurassic Park นับเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ใช้งบสร้างแคมเปญโฆษณาและงานโปรโมทสูงที่สุดในวงการเลยก็ว่าได้ เพราะ Universal Pictures ให้ทุนในส่วนนี้มากถึง 65 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,090 ล้านบาท) แถมด้วยการดีลกับกิจการมากกว่า 100 แห่งทั่วประเทศเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และสินค้าอีกมากกว่า 1,000 รายการเกี่ยวกับโลกจูราสสิค ตั้งแต่ \'เซตอาหารขนาดใหญ่พิเศษเท่าไดโนเสาร์\' ของแมคโดนัลด์ ไปจนถึง ถุงนอนลายไดโนเสาร์ กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ สวนสนุก Universal Studios ยังลงทุนสร้างเครื่องเล่น Jurassic Park: The Ride อีก 110 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,537 ล้านบาท) ในปี 1996 อีกด้วย (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Cineplex)
10. จาก \'Jurassic Park\' สู่ \'Jurassic World\'
เว้นระยะจากภาคสุดท้ายของไตรภาคที่แล้วมาอีก 14 ปี สวรรค์ของนักท่องเที่ยวสายลุย Jurassic Park ถูกพลิกโฉมใหม่ด้วยปฐมบทไตรภาคต่อมา Jurassic World (2015) ด้วยฝีมือของผู้กำกับ โคลิน เทรเวอร์โรว์ (Colin Treverrow) ผู้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำพูดของ ดร.เอียน มัลคอล์ม "คุณยืนอยู่บนบ่าของอัจฉริยะเพื่อทำบางอย่างให้สำเร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ แต่ก่อนที่จะได้รู้ว่าสิ่งนั้นมีดีอะไร คุณกลับจดลิขสิทธิ์มัน สร้างบรรจุภัณฑ์ให้มัน โยนมันใส่กล่องข้าวพลาสติก แล้วตอนนี้คุณก็จะขายมันเนี่ยนะ (You stood on the shoulders of geniuses to accomplish something as fast as you could, and before you even knew what you had, you patented it, and packaged it, and slapped it on a plastic lunchbox, and now you wanna sell it)"
ซึ่งนั่นคือที่มาของสวนสนุก Jurassic World สถานที่ซึ่งรวบรวมไดโนเสาร์เข้าไว้ด้วยกันทั้งสายพันธุ์ที่ทุกคนคุ้นตา รวมถึงสายพันธุ์ไฮบริดใหม่ที่ทำให้แฟรนไชส์ไดโนเสาร์ภาคต่อนี้มีดีกรีความระทึกขวัญ น่าตื่นตาตื่นใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจนสามารถกลับมาทวงบัลลังก์หนังยอดเยี่ยมได้อีกครั้งด้วยรายได้ที่สูงถึง 1,671 ล้านเหรียญสหรัฐ (53,757 ล้านบาท) เบิกทางให้ภาคต่อ Jurassic World: Fallen Kingdom ที่กำลังเข้าโรงฉายทั่วโลกวันนี้ได้อย่างสวยงาม พร้อมแผนปิดฉากโลกดึกดำบรรพ์อีกครั้งด้วยบทสรุปที่รับรองว่าต้องติดอยู่ในใจของแฟน ๆ อีกครั้งใน Jurassic World 3 วางกำหนดฉายไว้วันเดียวกับวันที่เราได้รู้จักโลกอันน่าอัศจรรย์ครั้งแรก 11 มิถุนายน 2021 (ข้อมูลจาก: เว็บไซต์ Comingsoon)
อ่านเพิ่มเติม
- Jurassic World 3 จะเป็นหนังแนวเดียวกับ Jurassic Park
- ดร.อลัน แกรนท์ อาจหวนคืนโลกไดโนเสาร์ ใน Jurassic World 3 !?
ร่วมเฉลิมฉลองการเดินทางอันแสนยาวนาน สัมผัสเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปแต่คงไว้ซึ่งกลิ่นอายเดิม ใน Jurassic World: Fallen Kingdom หนังจากไตรภาคชุดต่อเนื่องจากโลก Jurassic Park ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์ทั่วไทย