x close

ฝน นลินทิพย์ ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำผู้ชาย 2 คนเดินทาง



shambhala


ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำผู้ชาย 2 คนเดินทางไปยังดินแดนบนหลังคาโลก เพื่อจุดหมายที่เรียกว่า "ชัมบาลา" (สหมงคลฟิล์ม)

ก่อนอื่นแนะนำตัวก่อนเลยดีกว่าว่าเข้ามาทำงานในวงการนี้ได้อย่างไร?

          สวัสดีค่ะ ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล ค่ะ ก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาเข้าฉายค่ะ ฝนเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯค่ะ แต่ตอนนี้กำลังเรียนโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารการจัดการ เรื่องเข้าวงการได้ยังไง เป็นเรื่องบังเอิญมากค่ะ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเรียนอยู่ด้วย และมีพี่คนหนึ่งหานางเอกมิวสิควิดีโออยู่ และเขาอยากให้เราไปลองแคสท์ดู ซึ่งเป็นเอ็มวีตัวแรกชื่อเพลง "คนไม่มีเวลา" ใครที่รู้สึกคุ้นหน้าอาจจะบอกว่าไม่ค่อยเหมือนตอนนี้สักเท่าไร เพราะว่าประมาณสามสี่ปีมาแล้วค่ะ นานมาก ๆ แล้ว

          หลังจากเอ็มวีออกไป ก็ทำให้ได้มีงานมาเรื่อย ๆ ก็ต้องขอบคุณพี่ผู้กำกับคนนั้นมากที่ทำให้เราก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วย ตัวต่อมาก็จะเริ่มมีเอ็มวีเพลงของพี่เบิร์ด แล้วพี่เบิร์ดเป็นนักร้องในดวงใจเราด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลยและเป็นเกียรติมากที่ได้ถ่ายทำเอ็มวีกับพี่เขา ก็จะเป็นเพลง "อกมีเอาไว้หักพาสหนึ่ง" ของพี่เบิร์ดที่เราได้ร่วมเล่น นอกจากนั้นก็จะมีเอ็มวีที่ได้ร่วมงานกับพี่อนันดาในฐานะผู้กำกับเอ็มวีเรื่องแรกด้วย ชื่อเพลง "เพราะเรานั้นคู่กัน" ซึ่งเอ็มวีนี้เราไปถ่ายกันที่ระยอง และก็จะได้เห็นภาพสวย ๆ จากรถที่เราเอามาขับด้วย และอีกอันก็จะเป็นของพี่ตุ้ยเอเอฟ เพลง "กลับไปหลับสักคืน" ซึ่งตัวนี้เราจะเป็นคน ๆ หนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รถชนกันและเราป่วย มันคือสร้างเรื่องราวให้อีกคนหนึ่งคิดถึงเรา แต่ถ้าพูดถึงเอ็มวีตัวล่าสุดตอนนี้จะเป็นของพี่ดา เอ็นโดรฟินค่ะ ก็คือเพลง "ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ" ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่พี่ดาเขาทำให้โตโยต้าครบรอบห้าสิบปี ก็คือเพลงยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอค่ะ อันนี้จะแอบเห็นออนในโฆษณาด้วย เพราะอันนี้เขาแยกมาเป็นความพิเศษของมัน คือจะเสนอถึงเรื่องราวความผูกพันที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ของโตโยต้าที่มาจากรุ่นสู่รุ่น เราก็เลยได้ร่วมงานกับเขาด้วย

          นอกจากเอ็มวีก็มีพวกผลงานโฆษณาตั้งแต่นานมากแล้วค่ะ สองสามปีละ ก็มีทั้งซีพีและทรูสามจีที่ขึ้นไปถ่ายบนเขา ซึ่งพี่ผู้กำกับก็อยากแบบได้ฟีลอารมณ์หนาวมาก เราก็ต้องยกกองถ่ายขึ้นไปถ่ายบนนั้นด้วย ตอนนี้ก็มีรายการวิทยุค่ะที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่ก็ต้องรอดูต่อไป ก็จะมีรายการค่ะเป็นรายการไล์ฟสไตล์ของผู้หญิง ซึ่งเป็นเกี่ยวกับแฟชั่น ท่องเที่ยว ชื่อรายการ "โฮมสวีทโฮม" ของช่อง 5 ที่ผ่านมา และก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตก็คือชัมบาลานั่นเอง แต่ก่อนหน้านี้ก็จะมีภาพยนตร์ที่ทำดีเพื่อพ่อของในหลวงในช่วงห้าธันวาคมที่ผ่านมา เรื่อง "ทางแยกวัดใจ" ก็เป็นพาสหนึ่งที่ทำให้คนไทยอยากทำความดีเป็นสื่อกลาง

ฟัง ๆ ดูแล้วมีผลงานเยอะเหมือนกัน แล้วถ้าให้คำจำกัดความผู้หญิงที่ชื่อ "ฝน" เป็นอย่างไร?

          ก็คงเป็นเด็กแบบโก๊ะ ๆ คนหนึ่งล่ะ เป็นเด็กขี้ลืม เป็นคนมีความฝันนะคะ คือตั้งแต่เด็ก ๆ ละ คือพ่อกับแม่ก็จะชอบให้ไปประกวด อย่างแบบว่าถือป้ายร้องเพลงตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว ถ้าถามว่าเราเป็นคนขี้อายไหม เราเป็นคนขี้อายมาก เพราะตอนนั้นเป็นเด็กเราก็คงไม่ได้คิดว่าเป็นความอายหรืออะไร ทำแบบสนุก ๆ แต่พอเริ่มโตขึ้น เราก็รู้สึกว่าเราเริ่มหาความฝันและความชอบในสิ่งที่เรารักแล้ว พอเริ่มเข้ามหาลัยก็เริ่มที่จะเข้ามาทำงานในด้านนี้ พอมันเริ่มงานหนึ่งเรารู้สึกว่า เออเรารักจังเลยในด้านการแสดง ซึ่งเราอาจจะมีประสบการณ์ในตอนเด็ก ๆ ที่เคยทำโน่นนี่มาแล้วบ้าง พอมาเริ่มหนึ่งแล้ว เออเราอยากมีความฝัน เหมือนเราดูมิวสิควิดีโอตัวหนึ่งแล้วเรามีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นจังเลยนางเอกคนนี้ หรือว่าคนดู ๆ เราจะอินยังไงบ้าง และเรื่องภาพยนตร์มันคือหนึ่งอย่างเหมือนกันที่เป็นความฝันของเรา

shambhala

แสดงว่ามีแววสนใจหรือหลงใหลเกี่ยวกับทางด้านการแสดงมานานแล้ว?

          อย่างตอนแรกนะคะก็ประมาณสัก 7 ขวบได้ค่ะ คือพ่อแม่รู้สึกว่าน่าเอาไปทำอะไรสักอย่าง เขาก็เลยส่งเราเข้าประกวดเต้นของโรงเรียน เราก็เลยรู้สึกว่าตอนนั้นก็เหมือนเป็นเด็กน่ะ ชอบแต่งตัว ไปฝึกเต้นกับเพื่อน แต่เรารู้สึกว่าพอผ่านช่วงนั้นมาแล้ว เออเราก็น่าจะมีความฝันที่มันเป็นตัวเป็นตนได้ เราก็พยายามหา หาอย่างช่วงสักประมาณยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสองตอนอยู่มหาวิทยาลัยเริ่มที่จะมีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการ เรารู้สึกว่าเราได้แต่งตัว เอ๊ะมีกล้องมีคนที่ร่วมงานเป็นทีมงาน เรารู้สึกว่าเราชอบแล้ว และวันหนึ่งเราได้มาทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหนังก็เลยรู้สึกว่า มันไม่ง่ายนะ เพราะที่ผ่านมาฝนต้องแคสท์งาน ต้องผ่านการประกวดอะไรอีกมากมาย และวันนี้มันเป็นจริง เราภูมิใจจังเลยที่มันเป็นจริงขึ้นมาวันนี้

แล้วเป็นไงมาไงถึงได้เข้ามาเป็นนางเอกภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาได้?

          คือฝนเคยร่วมงานกับพี่พีทแล้ว ซึ่งพี่พีทเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของเรื่องนี้ และเคยร่วมงานของเอ็มวีมาก่อน พี่พีทก็เลยลองโทรมาให้เราไปแคสท์ดู ตอนแรกมันตื่นเต้นเหมือนเป็นหนังเรื่องแรก เราต้องอ่านบททุกอย่าง ซึ่งก็จะมีพี่ผู้ช่วยคอยบรีฟว่าเราจะต้องเล่นซีนไหนบ้าง ซึ่งซีนที่ฝนได้รับเป็นซีนเริ่มต้นกับซีนตอนจบ ซึ่งเรื่องของอารมณ์มันแตกต่างกันมาก เอ๊ะเราจะทำยังไงดีนะให้เราเล่นซีนแรกกับซีนตอนจบให้มันดี เราก็จะคอยถามเขาว่ามันประมาณไหนก็เริ่มค่อยบรีฟ เออมันคือหนัง มันคือครั้งแรกที่เราได้จับบท และเราก็เล่นออกมามันรู้สึกดี แค่เราเล่นออกมามันก็รู้สึกดีแล้ว อย่างผู้กำกับพี่ปี๊ด เขาเป็นผู้กำกับหนังที่ชัดเจนอยู่แล้ว และเรื่องคาแรคเตอร์เขาก็เลือกออกมาได้ชัดเจนเหมือนกัน เราก็อืมโปรเจคท์นี้เราได้ยินมานานมาก เคยได้ข่าวว่าคนมาแคสท์เยอะมาก เราก็แอบยิ้มเหมือนกันคนแคสท์เยอะมาก เอ๊ะยังไงดีทำไมผู้กำกับถึงเลือกเรา ก็แอบงง

ตอนเห็นบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง?

          ครั้งแรกที่ได้รับบทในการที่จะแคสท์ ก็จะเป็นซีนแรกกับซีนสุดท้าย ซึ่งเราตื่นเต้นตั้งแต่ที่ได้รับบทแล้วซึ่งบทมันมีความแตกต่างและมันก็ยากมากด้วย ซีนแรกจะเป็นซีนที่เราเจอกับพระเอก ตอนแรกเราต้องจินตนาการว่า ถ้าเราเจอกับคน ๆ หนึ่งซึ่งแบบเป็นคนกวน แต่เราก็มีจุดยืนในมุมของเรา และเรามีความมั่นใจกล้าคิดกล้าทำ เราจะสู้กับเขายังไงดีกับความรู้สึก แต่พอมาเป็นซีนสุดท้ายหักมุม อยู่ดี ๆ ก็เป็นเรื่องดราม่า ซึ่งเนื้อเรื่องตอนกลางเรายังไม่ได้ถูกรับรู้อะไรเลย และเราต้องจินตนาการเองว่าถ้าจบออกมามันต้องดราม่าขนาดนี้ เราจะร้องไห้ไหมหรือเราจะทำยังไงให้มันเศร้า ซึ่งมันยากตั้งแต่เรารับบทครั้งแรกแล้ว และพอวันหนึ่งเรารู้สึกว่า เฮ้ยเราได้บทนี้นะ มันบอกไม่ถูก อย่างที่ฝนบอกตั้งแต่แรกว่ามันคือความฝัน มันคือภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตด้วย วันหนึ่งมันเป็นเราที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้เห็นบ้าง โอ้โหดีใจและยิ่งมารู้ว่าเล่นกับพี่ซันนี่ซึ่งเป็นพระเอกในดวงใจใครหลาย ๆ คน และฝนก็ติดตามผลงานเขาด้วย ซิทคอมเขาอะไรหลาย ๆ อย่าง หนังเรื่องเพื่อนสนิทเรื่องแรกเราก็ดูเรื่องของเขา แต่วันนี้เราได้เล่นประกบคู่กับเขา โอ้โหทั้งนักแสดงคุณภาพและหนังก็น่าสนใจมาก ๆ ในเรื่องของคาแรคเตอร์ที่เราได้รับเล่นด้วย

คิดว่าเสน่ห์ของตัวละคร "น้ำ" ผู้หญิงที่ทำให้เกิดการเดินทางสู่ชัมบาลา อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร?

          อย่างเสน่ห์ของตัวละครที่ชื่อ "น้ำ" นะคะ คือตอนแรกที่ฝนอ่านบทเลย รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่น่าอยู่ด้วยมาก ๆ เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดในแง่บวกตลอดเวลา พอเราคิดในแง่บวกก็มักจะได้รับอะไรที่ดี ๆ เสมอ เราว่าเขามีเสน่ห์มาก เขาเป็นคนที่คอยสนับสนุนคนอื่น เหมือนเป็นตัวนำในการให้แรงบันดาลใจการใช้ชีวิตของคนหลาย ๆ คนด้วย แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว เรื่องบทที่ได้รับมาถามว่ามันไกลตัวไหม มันอาจจะไกลตัวในเรื่องของบางเรื่อง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ศรัทธาในความรักมาก ๆ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า อะไรเอ่ยที่มันทำให้เรารู้สึกว่าดึงความศรัทธาของความรักออกมาได้ถึงตัวละครนั้น มันก็เลยต้องมีการปรับเปลี่ยน อย่างมีการเวิร์คช้อป ผู้กำกับพี่ปี๊ด พี่อนันดา พี่ซันนี่ พี่โอซาและก็ฝนเอง เราก็คุยกันว่าคาแรคเตอร์แต่ละคนเนี่ยอยากได้ประมาณไหน อย่างของฝนอยากได้เป็นผู้หญิงมองโลกในแง่ดีนะ คอยแบบให้กำลังใจแฟน และก็มีแรงศรัทธาในความรักเยอะมาก เราก็เลยต้องมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้อินกับบทที่สุด

shambhala

ตัวละคร "น้ำ" ในชัมบาลากับตัวจริงของ "ฝน นลินทิพย์" แตกต่างใกล้เคียงกันมากน้อยแค่ไหน อย่างไร?

          ถ้าจะเทียบคาแรคเตอร์ของ "ฝน" กับ "น้ำ" คือจะเป็นคนที่ใกล้เคียงเรื่องของมุมมอง เป็นคนมองโลกในแง่ดีซะส่วนใหญ่ที่จะมองในแง่ลบ เรารู้สึกว่ามันมีกำลังใจในการทำงานดำเนินชีวิตมากกว่า แต่เรื่องของความศรัทธาในเรื่องความรัก เราต้องทำให้ได้มากเท่าตัวละคร ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้นก็เลยเอามาปรับเปลี่ยนแล้วก็หาเรื่องราวที่มันทำให้เรารู้สึกกับตัวนั้นจริง ๆ คาแรคเตอร์น้ำตัวนี้ คือตั้งแต่ครั้งแรกในชีวิตที่เราได้รับบท ๆ หนึ่งแล้ว เราต้องเล่นให้มันเป็นตามคาแรคเตอร์นั้น ซึ่งเราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ความเป็นมาของชีวิตน้ำตั้งแต่เด็กจนถึงเขามีวุฒิ (ตัวละครที่รับบทโดยซันนี่) อยู่ในทุกวันนี้ เราเลยรู้สึกว่าจะทำยังไงดีให้เป็นน้ำ เราเลยต้องศึกษาในแง่ของมุมมองและก็การดำเนินชีวิตของเขา วิธีคิดซึ่งมันยากตรงที่เราทำยังไงให้เราไปอยู่ในความคิดของเขาและเป็นตัวเขาจริง ๆ อย่างเรื่องถ่ายทอดความรู้สึกของน้ำ มันมีตั้งแต่เจอพระเอกตอนแรกเลยตั้งแต่เชือดเฉือนอารมณ์กัน เพราะต่างคนก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเองซะส่วนใหญ่ ก็อาจจะมีมุมกวน ๆ นิดนึง แต่พอเรารู้สึกว่าวันหนึ่งมันเกิดความรักขึ้น ก็จะเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ดี ๆ ที่เราแบ่งปันความรู้สึกให้เขา แต่พอหลังจากนั้นไปมันก็อาจจะเป็นมุมมองที่อาจจะไม่ผ่านคำพูด แต่มันเป็นความรู้สึกของคนที่รักกันแล้ว อาจจะมองด้วยสายตาก็น่าจะรู้แล้วค่ะ จริง ๆ มันมีหลายอารมณ์มากในแต่ละตอนแต่ละซีน

ถ้างั้นต้องเล่าให้ฟังแล้วล่ะว่าคาแรคเตอร์ของน้ำเป็นอย่างไร?

         
สำหรับคาแรคเตอร์ "น้ำ" นะคะ เป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่บวกค่ะ ชอบท่องเที่ยว รวมถึงเขามีงานอดิเรกเป็นงานถ่ายรูป รวมถึงเขายังมีร้านกาแฟเล็ก ๆ และก็พอมันถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว เขาอยากไปท่องเที่ยวรอบโลกเลย ถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างที่มันอยู่บนโลก เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงตัวแทนในเรื่องของแรงบันดาลใจ รักอิสระ รักศิลปะค่ะ ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับวุฒิเนี่ย เขาเป็นแฟนกันมาและก็ใช้ชีวิตร่วมกัน เรียกว่าเป็นการให้กำลังใจและก็เติมเต็มกันอยู่ตลอดเวลา และเราก็มีร้านกาแฟเล็ก ๆ อยู่ด้วยกัน ซึ่งคู่รักหลายคู่ก็คงอยากมีร้านกาแฟเล็ก ๆ มันเหมือนเป็นตัวแทนของความน่ารักของความเป็นคู่รักกัน และในร้านสังเกตุได้ว่าจะมีโปสการ์ดที่ทั้งคู่ได้ไปถ่ายกันมาจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเลย ยกเว้นที่เดียวคือทิเบตที่เราสองคนยังไม่เคยไปถ่ายรูปด้วยกัน อันนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่ทำให้วุฒิอยากไปถ่ายรูปให้น้ำ ก็เลยเกิดทริปไปทิเบตขึ้นของวุฒิกับทินพี่ชายซึ่งรับบทโดยอนันดา มีจุดหมายปลายทางคือชัมบาลานั้นเอง ชัมบาลาก็คือดินแดนสรวงสรรค์แห่งความสงบที่เรียบง่าย

สำหรับฝนแล้วมันน่าสนใจอย่างไรกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่เขารักออกเดินทางไปยังดินแดนหลังคาโลกอย่างทิเบต เพื่อออกค้นหา สิ่งที่เรียกว่า "ชัมบาลา"?

          คืออย่างชีวิตคนในปกติแล้ว ถ้าเป็นคนที่รักกันก็อยากที่จะทำอะไรให้กันอยู่แล้ว แต่ในคาแรคเตอร์วุฒิกับน้ำ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นเหมือนอยากไปให้กับคนรักคนหนึ่ง ซึ่งมันมีความศรัทธามาก ซึ่งทิเบตมันไปไม่ง่ายค่ะ และรู้สึกว่าการเดินทาง อากาศและความเป็นอยู่ มันไม่ใช่บ้านเราค่ะ มันเลยมีแรงศรัทธามากขนาดเขาอยากทำให้ขนาดนั้น มันก็ยิ่งใหญ่มากแล้วสำหรับคน ๆ หนึ่งที่ทำให้คนรัก แล้วยิ่งที่ได้ชมในภาพยนตร์ เราจะเห็นว่าตัวน้ำเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้วุฒิรู้สึก รู้จักการใช้ความรักและก็ดำเนินชีวิตเป็นแรงบันดาลใจ เอาด้านความอ่อนโยนด้านความรักของวุฒิออกมาได้ด้วยค่ะ คนดูก็จะเห็นว่าความศรัทธาและความเชื่อมั่นในความรักของวุฒิมันมีมากที่จะทำให้คนที่ตัวเองรักอย่างเช่นน้ำ

"ชัมบาลา" ในมุมมองความคิดของฝนคืออะไร?

          คือสิ่งที่เป็นคุณค่าทางจิตใจค่ะ ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นการเปิดรับสิ่งดี ๆ และความอ่อนโยน มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ซึ่งหาได้ยากมากจากจิตใจคน มันต้องถูกเปิดออกค่ะถึงจะได้พบกับคำว่าชัมบาลา

shambhala

ส่วนตัวแล้วเชื่อใน "พลังศรัทธาของความรัก" มากน้อยแค่ไหนอย่างไร?

          ส่วนตัวฝนแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องของความรัก เราศรัทธาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรักรอบ ๆ ตัวเรา ครอบครัว เพื่อน หรือว่าจะเป็นคนรักก็ตาม มันคือการให้ค่ะ แค่เราให้เราก็รู้สึกว่า มันอิ่มใจและรู้สึกว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ นั่นคือความศรัทธาง่าย ๆ ของคน ๆ หนึ่งที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุขค่ะ

  แล้วเคยทำอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นพลังศรัทธาของความรักหรือมีความรักเป็นแรงบันดาลใจหรือไม่ อย่างไร?

           เคยทำนะ อย่างในเรื่องความรักที่เราทำให้กับแม่ง่าย ๆ ค่ะ คนใกล้ตัวที่เขาเลี้ยงเรามาตั้งนานแล้ว พอเรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรให้เขา แค่ให้เขามีความสุข และเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราให้เขาไป เขาได้รับและเขารู้สึก นั่นแหละมันคือได้รับกลับมาแล้วค่ะ

คงต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่า "ชัมบาลา" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร?

          ชัมบาลาเป็นเรื่องราวของความรัก ความศรัทธาของคน ๆ หนึ่งจะทำให้คน ๆ หนึ่งได้ และก็จะสื่อถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง ก็จะเป็นพี่ซันนี่ที่รับบทเป็นวุฒิกับทินนั่นคือพี่อนันดานั่นเอง รวมถึงระหว่างคนรักก็คือน้ำกับวุฒิด้วย เรื่องราวก็จะดำเนินไประหว่างพี่น้องสองคนซึ่งมีความแตกต่างกันมาก อย่างวุฒิจะเป็นคาแรคเตอร์ที่ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา อ่อนโยน ส่วนทินพี่ชายจะเป็นคนที่หยาบกระด้างมาก เป็นคนหัวดื้อมาก ที่ต้องเดินทางไปด้วยกัน จุดหมายคือทิเบต ดินแดนที่อยู่บนความสูงสี่พันเมตรโดยมีน้ำเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจที่ทำให้วุฒิต้องเดินทางไปตรงนั้น ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางไปทิเบตด้วยกันก็จะเจอเรื่องราวเยอะมาก ทั้งความร้อนที่สุดและความหนาวที่สุด ต้องเผชิญกับทั้งสภาพอากาศ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง โดยที่ทั้งคู่ที่นอกจากจะมีแนวความคิดแตกต่างกัน แต่กลับต้องมาอยู่ด้วยกัน ก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่เถียงกันทะเลาะกัน ผิดใจกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเราอาจจะไม่ได้เห็นความสัมพันธ์ของพี่น้องสองคนในมุมนี้สักเท่าไร และเรื่องราวในระหว่างนั้น ทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ ซึมซับความอ่อนโยนและความศรัทธาของคนที่นั่นไปด้วยจนทำให้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ไปพร้อมกับการเดินทางเพื่อค้นหา "ชัมบาลา" แต่ถ้าอยากรู้ว่าชัมบาลาคืออะไรต้องติดตามกันในหนังค่ะ

ฟังดูน่าสนใจเลยทีเดียว ได้มีโอกาสร่วมงานกับพระเอกอย่าง "ซันนี่" ด้วย รู้สึกอย่างไรบ้าง?

          เริ่มแรกเลย ร่วมงานกับพี่ซันนี่ ซึ่งเป็นพระเอกในดวงใจใครหลาย ๆ คน และก็ห่างหายจากภาพยนตร์ไปนานแล้ว และก็กลายมาเป็นเราประกบคู่กับเขา เราก็ต้องยินดีก่อนค่ะ ดีใจมากที่ได้เล่นคู่กับเขา เขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ก่อนหน้าที่เราจะได้รับบทเล่นกับเขา เราจะมองคาแรคเตอร์เขาเป็นคนตลก เพราะเราจะติดตามผลงานเขาไม่ว่าจะเป็นซิทคอมหรือว่าหนังที่ผ่านมาของเขา ซึ่งจะบอกว่าเรื่องนี้พลิกคาแรคเตอร์เขาด้วย เป็นครั้งแรกที่เขามาเล่นดราม่า ซีนแรกที่ฝนได้มาเล่นกับพี่ซันนี่เป็นซีนที่ร้านกาแฟ ซึ่งตอนนั้นเป็นซีนที่เราไม่ค่อยได้คุยกับเขาอยู่แล้ว เขาก็เกร็ง ๆ เราก็เขินนิดนึง แต่ซีนนี้ก็เป็นเรื่องราวซึ่งฝนต้องตบหัวเขาด้วยและก็หลายทีมากด้วย จนเขาบอกว่าตบทีเดียวแรง ๆ ไปเลย จะได้ทีเดียวจบ เราก็โอเค เล่นไป เราก็เริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่นะ พอเล่นด้วยเรารู้สึกว่าไม่เกร็งแล้วค่ะ พอหลังจากซีนนั้นไป และเราได้ร่วมเดินทางไปทิเบตด้วยกัน ซึ่งเราก็ได้ใกล้ชิดกับเขาทั้งเรื่อง ไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ปกติของเขาเลย คือเขาเป็นคนตลกค่ะ คือเขาพูดคำเดียวเขาก็ตลกแล้ว คือใครเห็นเขาในซิทคอมเขาเป็นคนยังงั้นเลย เป๊ะมาก

shambhala

          และระหว่างการเดินทางมันไม่ง่ายเลยไงคะ ก็นั่งรถสิบกว่าชั่วโมง ก็จะมีการบ่นกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งคนที่บ่นมากที่สุดคือพี่ซันนี่ คือเขาจะบ่นตลอดทางเลยว่าแบบ อุ๊ยก่อสร้างโน่นนี่นั่น ก็ตลกค่ะ เขาก็ทำให้คนอื่นไม่เครียดด้วย ด้วยความที่คาแรคเตอร์เขาน่ารักด้วย ร่วมงานก็คือสบายใจค่ะ ไม่เกร็งเวลาเข้าซีนกับเขา อย่างเราเดินทางไปทิเบตใช่ไหมคะ เราใช้เวลาไม่ว่าจะเครื่องบินสามชั่วโมงแล้ว ต้องนั่งรถโค้ชอีกสิบสองชั่วโมงกว่า ซึ่งโหดมาก แต่ละคนรู้สึกว่าทำไมการเดินทางสองข้างทางจะเป็นเหวหมดเหมือนมีเลนเดียว แต่เอ๊ะมักจะมีรถสวนมาเสมอ ๆ ยังถามว่าเอ๊ะจะไปยังไงกัน ก็จะมีการหยุดตลอดเวลาในการเดินทาง ซึ่งกว่าจะถึงก็ตีสามของวันนั้นแล้ว ซึ่งอากาศแบบสามองศาแบบลมวูบมาก แต่พอไปถึงเรารู้สึกว่านี่คือทิเบต มันมีทั้งแดดที่แรง ๆ ค่ะ คือเราเคยคิดอยู่ว่า เอ๊ะทำไมคนทิเบตแก้มแดงจัง เราอาจจะคิดว่าเขาสุขภาพดี แต่เปล่าเลยคือแดดมันแรงมากทำให้ผิวเป็นแบบนั้น ซึ่งการปรับตัวของเรา มันยากมาก

          อย่างพี่ซันนี่อาจจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ซึ่งตอนเขาไปเขาป่วยด้วยเจ็บคอต้องทานยาตลอดเวลา ซึ่งที่นั้นอากาศก็หนาวด้วยและก็ทั้งร้อนและหนาวปนกัน ทุกคนก็มีสุขภาพไม่ดีเท่าไร ทุกคนก็ดูแลกันตลอดเวลา อย่างเราเห็นเขาป่วยก็เอาน้ำอุ่นไปให้บ้างเอายาไปให้กินอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็เหมือนการดูแลกันค่ะ ซึ่งที่โน่นมันก็สวย จนบางทีเราลืมไปว่ามันหนาวมากขนาดไหนหรือว่าร้อนขนาดไหนไปแล้ว อย่างพี่ซันนี่พอเราไปถึงทิเบตแล้วใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา ลงมากินข้าวลงมาซื้อของ เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อของ เพราะเราเห็นเขาเป็นคนที่ชอบเดิน โอ๊ะอันนี้ก็ไม่ใช่นะแล้วก็ไม่ซื้อ แต่ทุกคนจะขนของเยอะมาก ไม่ว่าจะมีของฝาก เดินเล่น ช่วงเวลาที่เราไม่ได้ถ่ายกัน รวมถึงการกินที่นั่น เขาจะมีการกินที่แปลกมากไม่เหมือนคนไทย พี่ซันนี่ก็จะไม่ค่อยถูกกับอาหารที่นั่น ก็จะกินง่าย ๆ อย่างไข่เจียวหรือมีอะไรที่แบบง่าย ๆ ไม่ยาก คือส่วนใหญ่ก็กินไม่ค่อยได้เท่าไร ก็จะหาอะไรกินง่าย ๆ ยังไงก็ได้ แต่เขาไม่ค่อยกินอารมณ์นั้น แต่ถามว่าเขาเป็นคนตลกในเรื่องของมุมมองความน่ารักของเขา ไลฟ์สไตล์ของเขาการใช้ชีวิตของเขาไม่ยากไงคะ เขาอยู่ยังไงก็ได้ อะไรก็ได้ ถ้าในเรื่องของการทำงานพี่ซันนี่ก็จะอีกมุมเลยนะคะ ถ้าเราเห็นเขาในมุมที่เป็นไลฟ์สไตล์เขาจะเป็นคนตลก แต่ถ้าในเรื่องของการทำงานเขาเป็นคนที่ตั้งใจในการทำงานมาก อย่างซีนที่เข้ากับฝน เขาก็จะมาบอกเราก่อนว่าคาแรคเตอร์เขาเป็นแบบนี้นะ จะมีการบรีฟการส่งอารมณ์ในแต่ละซีนที่จะเข้าแต่ละครั้ง อย่างไปทิเบตอาจจะไม่ได้เข้าซีนอะไรกันเยอะแยะ แต่ว่าจะเห็นเขาเข้าซีนกับพี่อนันดา เราก็แบบโอ้โหเขาเก่งนะ เป็นเหมือนนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งเลยทีเดียว เราก็โชคดีที่ได้ร่วมงานกับเขาด้วย เพราะเขาสอนเราให้เราเข้าใจในเรื่องการแสดงมากขึ้นกว่าที่เรารู้อีก

ประสบการณ์ในการถ่ายหนังที่ทิเบตเป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวมาว่ากว่าจะออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาได้ไม่ง่ายเลย?

          ในเรื่องของการเดินทางไปใช้ชีวิตถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาที่ทิเบต ซึ่งครั้งแรกที่เราได้ยินว่าจะได้ไปคือมันดีใจมาก และช่วงที่เขาไป scout โลเกชั่น (หาจุดหรือสถานที่ถ่ายทำ) ดอกไม้บาน ทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่เอาเข้าจริงแล้วช่วงที่เราไปมีแต่หิมะค่ะ และก่อนที่เราเดินทางไป เรานั่งเครื่องไปลงที่เฉินตู (เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน อันดับ 3 ของประเทศ) และก็ต่อด้วยรถโค้ชอีกประมาณสิบสองชั่วโมงกว่า กว่าที่เราจะเดินทางไปถึงทิเบตนี่คือ ถือว่าทรหดอดทนมาก มันไม่ง่ายเลยค่ะ สิ่งที่คาดฝันไว้มันนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นแบบนั้น เพราะการเดินทางเรา คือตลอดเส้นทาง เรานั่งรถโค้ชไปสองข้างทางอย่างที่มันเป็นเหวแล้วมันกำลังสร้างทางอยู่ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางนานมาก เพราะเราจะต้องหยุดตลอดเวลา แล้วอากาศที่มันอยู่ในรถ รวมถึงฮีทเตอร์ที่มันช่วยอะไรไม่ได้ เพราะมันหนาวมาก ๆ แต่พอมันไปลงตรงนั้นสักประมาณตีสามค่ะที่ถึงเมือง ถึงโรงแรมตรงนั้นลมพัด เรียกได้ว่าติดลบและลมเย็นมาก และแต่ละวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกินมันก็แปลกจากที่ไทยแล้ว เพราะที่นั่นเขาจะเป็นการกินอะไรที่เป็นไขมันซะส่วนใหญ่ เพราะเขาเชื่อว่าทำให้ร่างกายเราอบอุ่น แต่เราเป็นคนไทยกลับคิดว่าเอ๊ะมันเป็นไขมัน ซึ่งทุกคนก็จะน้ำมันน้อยลงได้ไหม อย่างไปบอกกุ๊กหรือไปบอกพ่อครัวหลายวันเข้า เพราะคนเริ่มรู้แล้วน่ะค่ะว่าคนไทยมา เขาก็จะลดน้ำมันลงและเป็นการกินที่เริ่มสบายขึ้น

shambhala

          ส่วนเรื่องโรงแรม เตียงนอนทุกคนจะต้องเปิดฮีทเตอร์ให้เตียงมันอุ่น ซึ่งไม่งั้นเราจะนอนไม่ได้เลย เพราะว่าอากาศข้างในมันหนาวมากและทรมานมาก และช่วงที่เราจะต้องไปถ่าย แต่ละที่มันทั้งติดลบ หิมะตก และรวมถึงข้างทางจะมีจามรี ซึ่งจามรีเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของทิเบตเลยทีเดียว เพราะว่าจามรีเป็นได้ทั้งเครื่องนุ่งห่ม ได้ทั้งเอามากิน ซึ่งทีมงานและผู้กำกับโปรดปราณจามรีสด ๆ ซึ่งฝนไม่กินเพราะฝนไม่กินเนื้ออยู่แล้ว คือจะเป็นฝนคนเดียว พี่อนันดากับพี่ซีนนี่จะอารมณ์แบบเรียกได้ว่าสั่งมาอันลิมิตมาก ๆ สามสี่จาน ในห้องที่เขาแบ่งกันนี่ โอ้โหข้างในฮือฮามาก สงสัยจะอร่อยจริง และบะหมี่ก๋วยเตี๋ยวที่นั่นก็จะแปลก ๆ เราจะรู้สึกว่าเราไม่เคยกินที่ไทยนะ และก็ข้างทางก็จะเป็นของฝาก แต่ที่สังเกตุได้ จะเป็นพวกระฆังมนต์ที่เราเห็น ซึ่งมันเป็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็นเลยในบ้านเรา มันเป็นวัฒนธรรมของที่โน่นด้วย

          ส่วนอากาศก็แปรเปลี่ยนตลอดเวลา มีหิมะตกวันนี้ วันนี้ร้อนจัดตอนกลางวัน ซึ่งสองอย่างนี้รวมกัน บางคนก็กินยาลดความกดอากาศของที่นั่นเลย เพราะมันทำให้เราป่วยมาก ๆ ทุกคนต้องดูแลตัวเองและก็มีการเข้าไปในชัมบาลาด้วย ซึ่งฝนอาจจะไม่ได้ไปเพราะเป็นผู้หญิง ต้องขี่ม้าเข้าไปสามชั่วโมงเต็ม ๆ ซึ่งก่อนที่เราจะไป เรามีการลาทีมงานด้วย ซึ่งก่อนที่ไปประมาณหกโมงเย็นของที่นั่น แล้วหิมะมันตกแรงมาก เราก็แอบเป็นห่วงนะว่าทุกคนจะไหวไหมแต่ก็ให้กำลังใจ เพราะว่าเห็นเขาขี่ม้าเข้าไปข้างใน และพอทุกคนกลับมาก็บอกว่าอุ๊ยอาหารไม่พอ เครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่าง จนเรารู้สึกว่ามันเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไปด้วยกันทุกคนเลย นี่แหละคือทิเบตที่ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันและฟันฝ่าอุปสรรคมาและก็ภาพการแสดงบรรยากาศทุกอย่างมันรวมมาหมดแล้ว

เป็นนักแสดงหญิงคนเดียวที่ได้มีโอกาสไปถ่ายทำหนังที่ทิเบตและได้สัมผัสการทำงานของ 2 พระเอกระดับซูเปอร์สตาร์ เป็นอย่างไรบ้าง?

          อย่างพี่ซันนี่กับพี่อนันดาเป็นการพบกันครั้งแรกของนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ๆ แล้วมันคงเป็นเรื่องยากนะที่ทั้งคู่จะมาโคจรพบกัน แต่เรื่องนี้คือเรื่องแรกด้วย อย่างฝนเห็นการแสดงของเขาทั้งคู่ เรารู้สึกเลยว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ๆ และเราจะได้คำปรึกษาจากเขา ซึ่งเราโชคดีมากเวลาที่เราจะเข้าบทไหนเราก็จะปรึกษาเขาได้ แต่พอเรามาเห็นเขาเล่นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซีนอารมณ์ ซีนตลก ซีนความสัมพันธ์ของพี่น้อง ซึ่งเป็นแบบความรัก อย่างมีหลาย ๆ ซีนที่เป็นการพลิกคาแรคเตอร์ของทั้งคู่ให้แตกต่างกันมากเลย อย่างพี่ซันนี่จากตลกมาเป็นดราม่า แต่พี่อนันดาจากดราม่าแต่อันนี้ตลก มันเป็นความแตกต่างที่ทั้งคู่ทำให้มันลงตัวมาก ๆ  เท่ากับเป็นการบอกคนดูได้เลยว่านักแสดงที่มีคุณภาพเล่นได้ทุกบทจริง ๆ คือคำนี้เรารูสึกว่าเออพอเห็นสองคนนี้เล่นแล้วมันจริงค่ะ และก็เชื่อได้เลยว่าแต่ละซีนที่เขาเล่นมาเขาใช้อินเนอร์ และเขาก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้ทุกซีน

          อย่างซีนที่ถ่ายที่ทิเบตมันไม่ใช่ถ่ายในสตูดิโอเมืองไทย เพราะฉะนั้นอุปสรรคในเรื่องของอากาศ เวลา สถานที่ที่มันเป็นการบีบมาก ๆ เลย ซึ่งนักแสดงก็ต้องมีสมาธิแล้วเข้าใจอินเนอร์ของซีนนั้นด้วย ซึ่งมันยากมาก ๆ  พี่อนันดากับพี่ซันนี่ เข้าซีนกันต้องต่อสู้กับอากาศที่มันหนาวมาก ๆ ซึ่งมันต้องมีซีนที่ปะทะคารมกัน แล้วตรงนั้นลมแรงมากเป็นซีนที่บอกว่า เหมือนทั้งคู่ความสัมพันธ์กำลัง เอ๊ะมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันกลับทำให้ทั้งคู่เข้าใจกันได้ในซีน ๆ เดียวกัน คือนอกจากต้องบอกให้คนดูรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันที่สุดแล้ว มันมีเรื่องที่ต้องเล่าผ่านการแสดงของทั้งคู่ด้วย แล้วยิ่งพอมันต้องมาเจอความกดดันด้วยเวลาสถานที่ ถึงบอกได้ว่าพี่ ๆ เขาคือนักแสดงอาชีพที่มีคุณภาพจริง ๆ เมื่อได้เห็นการทำงานของเขา

shambhala

ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์คิดว่าเสน่ห์ของ "ชัมบาลา" คืออะไร?

          อย่างโปรเจคท์ชัมบาลาเราได้ยินมาอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงตรงนั้น และรวมถึงรู้ว่าไปถ่ายที่ทิเบต มันรู้สึกว่ามันไม่มีแล้วค่ะ ภาพยนตร์ไทยที่จะไปตรงนั้นและมันไปยากมาก ๆ ซึ่งทางโน้นมันก็ไม่ง่ายที่จะเข้าไปถ่ายทำหนังอยู่แล้ว พอเราได้ไปเรารู้สึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกคนก็คิดว่าการฝ่าฟัน การแสดงที่ต่อสู้กับลมหนาว ซึ่งมันหนาวมาก ๆ รวมถึงอาหารความเป็นอยู่ มันแตกต่างจากประเทศไทยมาก ๆ แต่เราก็ได้ไปซึมซับวัฒนธรรมที่เขาเป็นอยู่ มันมีแต่ความสงบสุข มีแต่ความศรัทธาที่แบบรู้สึกได้จากตรงนั้น มันเลยเป็นโปรเจคท์ที่ยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่งค่ะ มันที่สุดแล้วของการไปทิเบต ก็อยากจะบอกว่าทั้งหมดในเรื่องมันอาจจะแบบว่าเป็นเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้นสำหรับคนดู แต่การถ่ายทำตั้งแต่ทีมงานทุกคนที่เขาตั้งใจที่จะเริ่มโปรเจคท์ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันก็ยากแล้ว ตั้งแต่ถ่ายทำมาแต่ละซีน แต่ละวันที่เราต้องเดินทางในทิเบต แต่ละความหนาวที่เราอยู่ในทิเบตทั้งหมดมันไม่ง่ายค่ะสำหรับหนังเรื่องหนึ่งตรงนี้ เรารู้สึกว่าทุกคนตั้งใจและอยากให้มันออกมามาดีด้วย และพอทีมงานและนักแสดงเห็นมันคือความภูมิใจและก็ยิ้มกับมันทุกครั้งว่าบรรยากาศตรงนั้นมันคืออะไร

พูดถึงผู้กำกับบ้างพี่ปี๊ด ปัญจพงศ์ คงคาน้อย

          ก็สำหรับพี่ปี๊ดผู้กำกับ ฝนทราบมาว่าความฝันของเขาสิบปีที่ผ่านมาที่เขาอยากมีคือ หนังหนึ่งเรื่อง และเรื่องนี้ก็คือหนังเรื่องแรกของพี่ปี๊ดด้วย ตั้งแต่ร่วมงานกับเขามารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีความฝัน แล้วการทำงานของพี่ปี๊ดมันเป็นความตั้งใจมาก ๆ เลย ไม่ว่าแต่ละซีน นักแสดงแต่ละคน การบรีฟของเขา โดยส่วนตัวพี่ปี๊ดเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว การทำงานทุกอย่างมันออกมาดีหมด ก็ถ้าถามว่าการทำงานเขาดุไหม ก็แอบมีซีเรียสนิดหนึ่ง อย่างไปทิเบตก็เครียด ในเรื่องของเวลา ในเรื่องความหนาว ก็เลยโอเคทำให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ก็แอบดีใจกับเขาด้วย มันเป็นหนังเรื่องแรกสำหรับเขา เราก็เป็นส่วนหนึ่งในหนังของเขาด้วย  อย่างความตั้งใจของพี่ปี๊ดที่ฝนเห็นชัด ๆ เลย เรื่องของการถ่ายทำที่ทิเบตมากกว่า เพราะว่าบางทีเรารู้สึกว่ามันยากกับการเข้าไปถ่ายทำ ซึ่งเขาก็ยังคงมีความที่อยากจะไปถ่ายอยู่ ซึ่งจะหาหนทางทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเขาอยากได้ภาพตรงนี้ เขาก็จะพยายามหามุม หาสิ่งที่ทำให้รู้ว่าตรงนี้มันโอเคนะ เป็นความมุ่งมั่นมากกว่าและความตั้งใจตลอดสิบปีที่ผ่านมา ฝนรู้สึกว่าเออวันนี้มันเป็นหนังเรื่องแรกของเขา และเราทุกคนก็ภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำและเป็นคนเริ่มมัน เราก็ดีใจด้วยที่เขากำกับภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องนี้

shambhala

เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่ทุกคนจะมีโอกาสได้ชมแล้วหลังจากที่รอคอยกันมานาน ฝากอะไรถึงชัมบาลากับแฟน ๆ?

          อย่างภาพยนตร์เรื่องชัมบาลานะคะ ก็อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้บอกถึงความแปลกใหม่ ซึ่งที่พิเศษที่สุดก็คือเราไปถ่ายที่ทิเบตกัน ความยาก สถานที่ รวมถึงความหนาวเย็นที่เราต่อสู้กันทั้งทีมงานและนักแสดงด้วย มันแค่สองชั่วโมงก็จริง แต่มันมีคุณค่ามากกว่าตรงนั้นด้วย รวมถึงผู้กำกับพี่ปี๊ดนะคะ เขาก็ตั้งใจที่จะมีหนังในรอบสิบปีของเขาที่เคยเป็นความฝันและเรามีส่วนที่จะเป็นตรงนั้นด้วย อย่างพี่อนันดาพี่ซันนี่เป็นนักแสดงคุณภาพอยู่แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้เขาก็ได้พลิกบทบาทที่แตกต่างกันสุดขั้วมาก ๆ พี่อนันดาที่ดราม่าก็กลับเป็นคาแรคเตอร์ที่ตลก ส่วนพี่ซันนี่ที่ตลกก็กลับเป็นดราม่า ซึ่งเขาทำมาได้อย่างลงตัวมาก ๆ ส่วนพี่โอซาในเรื่องก็ต้องปะทะอารมณ์กับพี่อนันดา ซึ่งคิดว่ามันเข้มข้นมาก ๆ แล้วค่ะ แล้วอินเนอร์ของเขามีเยอะมาก มันเป็นซีนที่สำคัญมาก ๆ

          ก็อยากฝากภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา และก็เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของฝนด้วย ซึ่งทุกคนตั้งใจทำงานมาก ๆ และก็ไม่ใช่แค่ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องความศรัทธาในรัก แรงบันดาลใจ ทุกคนอาจจะเป็นเจนในเรื่อง รู้สึกว่าเป็นวุฒิ หรืออาจจะเป็นฝนในเรื่องที่เป็นน้ำหรืออาจจะเป็นพี่ทินก็ได้ คิดว่าเรื่องนี้น่าจะตรงใจกับใครหลาย ๆ คน สำหรับคนดูยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ภาพยนตร์ชัมบาลาค่ะ 23 สิงหาคมนี้ ก็อยากให้มาดูกัน เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้การันตีได้เลยว่ามันมีความแปลกใหม่ในเรื่องสถานที่ด้วย เพราะว่าเรายกกองไปถ่ายที่ทิเบตกันเลยทีเดียว บรรยากาศที่นั่นสวยมาก ๆ เลย คิดว่าทุกคนดูแล้วน่าจะอิ่มในเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ของพี่น้องด้วยค่ะ ฝากด้วยค่ะ



 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก 




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ฝน นลินทิพย์ ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำผู้ชาย 2 คนเดินทาง อัปเดตล่าสุด 18 สิงหาคม 2555 เวลา 11:07:37 5,197 อ่าน
TOP