เป็นที่เฝ้ารอสำหรับกลุ่มคนรักหนังที่เดียว สำหรับ 10 อันดับหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ที่สำนักข่าว BBC ได้รวบรวมมาให้เราได้ชมกัน ซึ่งในบรรดาหนังทั้ง 10 เรื่องต่อไปนี้ก็มีหลายเรื่องที่เป็นหนังรายการเด่นในบ้านเรา กับบางเรื่องที่อาจจะไม่อยู่ในความสนใจของคนกลุ่มใหญ่มากนัก แต่ด้วยการสร้างเรื่องราวและการนำเสนอผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ก็ทำให้มันกลายมาเป็นหนังดีที่ถูกอกถูกใจของเหล่านักวิจารณ์ และกลุ่มคนบางกลุ่มที่สามารถเข้าถึงหนังเรื่องนั้น ๆ ได้ ซึ่ง 10 อันดับหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้น เรามาดูกันเลยดีกว่า
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Inside Llewyn Davis
ท่ามกลางกระแสตัวเก็งรางวัลอย่าง American Hustle, Herและ Gravity เหล่านักวิจารณ์ภาพยนตร์ในสหรัฐฯ ต่างเลือกให้ Inside Llewyn Davis ครองตำแหน่งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ไปอย่างพลิกความคาดหมาย โดย Inside Llewyn Davis นั้นเป็นภาพยนตร์ที่ชวนให้เราติดตามเรื่องราวชีวิตของ ลูวิน เดวิส นักดนตรีโฟลก์ผู้ตกอับที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อกลับมาสร้างชื่ออีกครั้ง ในเมืองนิวยอร์ก ช่วงศตวรรษที่ 60 และด้วยเสียงเศร้า ๆ ของ ออสการ์ ไอแซค (Oscar Isaac) นักแสดงนำของเรื่อง ก็ยิ่งเป็นสิ่งดึงดูดในบทนี้ของเขามากขึ้น จนกลายเป็นที่ถูกใจของเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลาย
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก American Hustle
หยาบคาย เจ้าเล่ห์ และเซ็กซี่ คือภาพที่ เดวิด โอ รัสเซล (David O. Russell) ผู้กำกับ American Hustle วาดให้แก่ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ว่าด้วยเรื่องราวการหลอกลวงต้มตุ๋นในสหรัฐฯ ช่วงปลายทศวรรษที่ 70 เมื่อชายและหญิงคู่หนึ่งที่มีความมั่นใจในฝีไม้ลายมือการหลอกลวงของตัวเองอย่างมาก จะต้องถูกดึงเข้ามาพัวพันกับปฏิบัติการครั้งสำคัญของเอฟบีไอ ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ ปฏิบัติการ Abscam และด้วยความมั่นใจในมุกตลกร้ายของรัสเซล เราอาจจะไม่ได้เห็นภาพที่สวยงามที่สุดของเหล่านักแสดงในเรื่องก็เป็นได้
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Before Midnight
เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะมันเป็นเวลานานถึง 18 ปีแล้ว นับตั้งแต่ผู้ชมได้พบกับ อีธาน ฮอว์ค (Ethan Hawke) ในฐานะเจสซี่ หนุ่มน้อยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่เดินทางมายังต่างแดน และ จูลี่ เดลพี่ (Julie Delpy) ในบท ไคลน์ สาวน้อยชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาเปลี่ยนโชคชะตาของเขาใน Before Sunrise และใน 9 ปีต่อมา เมื่อพวกเขากลับมาพบกันอีกครั้งใน Before Sunset ด้วยจิตวิญญาณของคนที่เติบโตขึ้น
และในตอนนี้ เจสซี่และไคลน์ในวัยกลางคนก็กลับมาพบกับผู้ชมอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ไม่เคยรู้สึกถึงความเป็นจริงของชีวิตมากขนาดนี้มาก่อน พวกเขาได้แต่พูดคุยกันตลอดเส้นทางความท้าทายในการรักษาความสัมพันธ์ของพวกเขาไว้ มันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงที่คิดว่าต่างรู้จักกันและกันดี บนฉากหลังของเรื่องที่อยู่ในกรีซ โดยมี ริชาร์ด ลินกลาเตอร์ (Richard Linklater) มาช่วยกำกับการพัฒนาของทั้งคู่ และเขียนบทเพื่อให้มันกลายมาเป็นโศกนาฏกรรมความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ ในการสร้างภาพยนตร์ร่วมสมัย
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก LA GRANDE BELLEZZA
นักสร้างภาพยนตร์ เปาโล ซอร์เรนติโน (Paolo Sorrentino) ได้นำเอาสายลมอันงดงามของอิตาลีมาถ่ายทอดลงสู่แผ่นฟิล์ม เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของ เจ็ป แกมบาร์เดลลา นักเขียนคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสีสันยามราตรีอันแสนหรูหราในกรุงโรมของอิตาลีมานานหลายสิบปี จนเมื่อเขามีอายุครบ 65 ปี เขาก็ได้พยายามออกตามหาความหมายของชีวิต ซึ่งเขาก็ค่อย ๆ ค้นพบกับความสวยงามภายใต้ความน่าเบื่อหน่าย เขายังได้สนุกกับสังคมอย่างเต็มที่ โดยได้รับการต้อนรับเสมอจากความเฉลียวฉลาดน่าคบหา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเขาก็ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง และความงดงามภายในจิตใจของตัวเอง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Her
ภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าอันแสนงดงาม ของความรักในรูปแบบใหม่ที่แฝงไว้ด้วยปรัญาอย่าง Her ได้นำเสนอการเชื่อมโยงของความเหงา การแสดงออกทางเพศ และเขตแดนระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์อัจฉริยะ เมื่อ โจควิน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) ต้องมารับบทเป็น ธีโอดอร์ นักเขียนหนุ่มที่ใช้ชีวิตอย่างเศร้าโศกกับการหย่าร้างที่กำลังจะมาถึงจากผู้หญิงคนหนึ่ง ก่อนที่เขาจะได้พบและตกหลุมรักกับ ซาแมนธา หญิงสาวซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีเพียงเสียงอันอบอุ่นที่ละลายหัวใจของเขาได้ นำไปสู่ความสัมพันธ์รักรูปแบบใหม่ที่พัฒนาไปอย่างโรแมนติกเกินกว่าใครจะคาดถึง ที่จะทำให้หัวใจทุกดวงต้องอมยิ้มไปกับเรื่องราวของความรัก และสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์คนหนึ่งมากเพียงไหน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก A Touch of Sin
A Touch of Sin เป็นเหมือนกับภาพยนตร์ที่ชุบเคลือบไว้ด้วยความโกรธเคืองที่มีต่อการคอร์รัปชั่น ความโลภ และการทำลายวัฒนธรรม ภายใต้ชื่อของจีนยุคใหม่และยุคโลกาภิวัฒน์ ของนักสร้างภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่อย่าง เจี่ยจางเกอ (Jia Zhangke) ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้เคยเห็นภาพยนตร์ที่มีความนุ่มลึกในการเล่าเรื่องแบบสารคดีของเขามาแล้วใน Platform and The World ที่มีความน่าอัศจรรย์ในการช่างสังเกตและสะสมช่วงเวลาเล็ก ๆ ในชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป มาสร้างเป็นภาพยนตร์สะท้อนสังคมอันยิ่งใหญ่
และในครั้งนี้กับ A Touch of Sin ผู้กำกับเจี่ยจางเกอ ได้มุ่งเป้าการโจมตีไปยังสิ่งที่เขามองว่าเป็นการล่มสลายภายในประเทศอันยิ่งใหญ่ของเขา และแบ่งตำนานการผจญภัยครั้งนี้ออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วยเรื่องราวของคนงานเหมืองที่อาจหาญลุกขึ้นมางัดข้อกับการคอร์รัปชั่นในท้องถิ่น แรงงานผู้กลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดและพบว่าแถวนั้นปืนหาง่ายเหมือนผักหญ้า พนักงานสาวในสถานบริการหมดความอดทนกับการเซ้าซี้ของลูกค้า และแรงงานหนุ่มในโรงงานอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนงานไปเรื่อยเพื่อยกระดับฐานะ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก The Act of Killing
นี่คือภาพยนตร์สารคดีที่บอกเล่าเรื่องราวของเกมการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในช่วงกลางยุค 60 ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีการสังหารหมู่ผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 2.5 ล้านคน แต่นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ฆาตกรมือเปื้อนเลือดที่สังหารคนมากมายยังคงมีอิทธิพล มีความสุขมาจนถึงปัจจุบัน โดยที่บางคนก็มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกผิด แต่บางคนกลับไม่รู้สึกผิดอะไร กลับกันพวกเขารู้สึกภาคภูมิใจกับความโหดร้ายที่ตัวเองเคยทำลงไปด้วยซ้ำ และใน The Act of Killing ผู้กำกับ โจชัว ออพเพนไฮเมอร์ (Joshua Oppenheimer) และทีมงานของเขาก็จะทำให้เราจำไม่มีวันลืมเลยว่า ปีศาจร้ายเหล่านี้จริง ๆ แล้วก็คือมนุษย์นี่เอง
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Fruitvale Station
Fruitvale Station เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงของ ออสการ์ แกรนท์ วัยรุ่นผิวสีวัย 22 ปี ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิตที่สถานีรถไฟในโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในวันขึ้นปีใหม่ของปี 2009 แม้ว่า Fruitvale Station จะเป็นผลงานภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ ไรอัน คูเกลอร์ (Ryan Coogler) ผู้กำกับหน้าใหม่ก็ตาม แต่มันกลับได้รับรางวัลและเสียงชื่นชมอย่างมาก
โดย Fruitvale Station ได้นำเราไปสัมผัสกับชีวิตเสี้ยวหนึ่งของ ออสการ์ แกรนท์ บุคคลที่ไม่ใช่ทั้งนักบุญหรือคนบาป จับภาพช่วงชีวิตสั้น ๆ ของชายคนนี้ที่มีทั้งครอบครัว คนรัก และลูกสาวตัวน้อย ออสการ์มีทั้งด้านที่ใจดีและเคยทำผิดพลาดในบางครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นจุดจบของชีวิตเขากลับเป็นสิ่งที่เกินกว่าใครจะคาดถึงและยอมรับได้
ภายใต้ชื่อของ Fruitvale Station สถานีรถไฟที่ออสการ์ถูกสังหารท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ไมเคิล บี จอร์แดน (Michael B Jordan) ผู้รับบทเป็น ออสการ์ แกรนท์ ยังจะทำให้ผู้ชมได้ร่วมแชร์ความเศร้าโศกและความโกรธเกรี้ยวของตัวละครตัวนี้ ผ่านการแสดงอันยอดเยี่ยมของเขาด้วย
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก All Is Lost
นี่คือภาพยนตร์ดราม่าผจญภัยแห่งปี ที่ผู้กำกับ เจ.ซี. แชนดอร์ (J.C. Chandor) จะนำผู้ชมทุกคนเข้าไปสู่ความเร้าใจ และความตื่นเต้นอย่างที่สุด ท่ามกลางเนื้อหาที่แฝงไว้ด้วยปรัชญา โดยเราจะได้พบกับ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด (Robert Redford) ในบทของทหารเรือไม่ปรากฏชื่อ ที่ต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังบนเรือที่แล่นไปบนมหาสมุทร หลังจากที่เรือของเขาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงกลางสมุทร ผู้ชมจะถูกตรึงอารมณ์ไว้กับการอธิบายถึงการใช้ชีวิตแบบวันต่อวันของชายผู้นี้ที่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาวิกฤตของชีวิตและความตายไปได้
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Enough Said
ในความอ่อนโยนอันน่าอัศจรรย์ของ นิโคล โฮลอฟเซเนอร์ (Nicole Holofcener) ผู้กำกับและผู้เขียนบทเรื่อง Enough Said เธอได้นำเราให้ไปรู้จักกับเรื่องราวของหญิงม่ายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่รับบทโดย จูเลีย หลุยส์-เดรย์ฟัส (Julia Louis-Dreyfus) ผู้ซึ่งขาดความสมบูรณ์ในชีวิต และมีความกังวลใจในการเริ่มต้นความรักใหม่อีกครั้ง ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวต่อบ้านที่ว่างเปล่าเมื่อลูกสาวของเธอออกจากบ้านไปเรียนในมหาวิทยาลัย แต่แล้วเธอก็ได้พบชายคนหนึ่งที่จะทำให้เธอเรียนรู้ที่จะไว้วางใจและเชื่อถือใครอีกสักครั้ง เธอตัดสินใจไล่ตามความรักกับชายคนนี้ ผู้ซึ่งเป็นสามีเก่าของเพื่อนใหม่ของเธอ