การกลับมาของหนังฟอร์มยักษ์ X-Men : Days of Future Past (X-เม็น : สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต)ได้รับความสนใจจากคอหนังทั่วโลกอย่างถล่มทลาย โดยในภาคล่าสุดนี้ พระเอกสุดฮอต ฮิวจ์ แจ็คแมน หนึ่งในนักแสดงนำ Men : Days of Future Past ยังคงรับบท วูล์ฟเวอรีน เช่นเดิม และเขาต้องรับบทหนักขึ้นอีก เมื่อเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ ความสามารถด้านการรักษาอาการบาดเจ็บได้ของวูล์ฟเวอรีน ทำให้เขาเป็นเอ็กซ์-เม็นเพียงคนเดียวที่สามารถทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรงจากการเดินทางข้ามเวลาได้ และนั่นหมายถึงเขาต้องมีชีวิตรอดให้นานที่สุดเพื่อทำภารกิจชิ้นสำคัญให้สำเร็จ ด้วยการย้อนเวลากลับไปขัดขวางเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่จุดจบของมนุษย์กลายพันธุ์ !
ทั้งนี้ ในงานเปิดตัว X-Men : Days of Future Past เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2014 ที่ประเทศสิงคโปร์ ทางทีมงาน กระปุกดอทคอม ได้เข้าสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ฮิวจ์ แจ็คแมน ถึงการทำงานในภาคล่าสุดนี้ด้วย ลองไปดูกันว่าเบื้องหน้าและเบื้องหลังของ X-Men : Days of Future Past จะสนุกสุดมันส์ขนาดไหน
Q : คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมรู้สึกดีที่ได้มางานพรีเมียร์ในสิงคโปร์ ผมเคยมาที่นี่ในฐานะของนักท่องเที่ยว แต่ผมไม่เคยมางานพรีเมียร์มาก่อน มีคนมามากมาย ผมรู้สึกได้ถึงความสนใจ สำหรับผมแล้ว นี่คือโอกาสที่ผมจะได้เจอกับแฟน ๆ ผมเล่นเป็นตัวละครนี้ในหนังเรื่องนี้มาแล้วกว่า 14 ปี แต่ผมเองกลับรู้สึกว่ามันสดใหม่มากกว่าที่เคย ผมมีความสุขที่ได้เล่นบทนี้มากกว่าที่เคย ผมรู้สึกซาบซึ้ง และตื่นเต้นมาก
Q : อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดในการทำหนังเรื่องนี้
ฮิวจ์ แจ็คแมน : สำหรับผมแล้ว มันคือการที่ผมได้นำเสนอวูลฟ์เวอรีนในมุมที่ต่างออกไป คนอื่น ๆ เคยมองเขาว่าเป็นนักรบ เขาเป็นพวกตัวแสบสุดเจ๋ง แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถเล่นบทอย่างนั้นได้ เขาต้องเป็นคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน รวมทุกคนไว้ด้วยกัน เป็นตัวกลางคอยประสานรอยร้าว เขาต้องให้การสนับสนุนทุกคน ตอนที่เราถ่ายทำมันสนุกมาก นี่คือทีมงานที่ดีที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย
Q : ในตอนแรกดูเหมือน ไซคลอปส์ (Cyclopes) น่าจะเป็นตัวละครหลักของ X-Men แต่ตอนนี้ตัวละครหลัก จริง ๆ กลับเป็น วูลฟ์เวอรีน คุณคิดยังไง
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมไม่รู้ ผมว่าในแง่ของหนังแล้ว วูลฟ์เวอรีนมีความคลาสสิก เหมือน ชาร์ลี บรอนสัน, ฮัน โซโล คือเป็นตัวละครที่เหมือนกับเป็นพวกนอกคอก เป็นคนดี แต่ไม่ใช่คนสุภาพ ค่อนข้างเหมือนกับตัวละครชายฮอลลีวูดทั่วไป และอีกอย่างคือ ไบรอัน ซิงเกอร์ ค่อนข้างจะทำเรื่องนี้ได้ดีตั้งแต่ภาคแรก คือแสดงโลกทั้งหมดผ่านมุมมองของวูลฟ์เวอรีน เขาเองรู้สึกว่าเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมนุษย์กลายพันธุ์ แต่เขาก็เป็นตัวละครที่ดี
Q : คุณเคยอ่านหนังสือการ์ตูนมาก่อนหรือเปล่า
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมไม่เคยอ่านมาก่อน ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเคยมีเป็นหนังสือการ์ตูนมาก่อน ที่ซิดนีย์มีวงร็อคชื่อ The Uncanny X-Men และตอนแรกผมคิดว่า หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของวงนี้ ตอนนั้นผมไม่รู้ว่า X-men เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว
ฮิวจ์ แจ็คแมน : แน่ล่ะ นั่นเป็นคำอธิบายถึงตัวของวูลฟ์เวอรีน ไม่หรอก ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมค่อนข้างเป็นคนกลาง ๆ แต่บางครั้งผมก็อารมณ์ร้อน ผมก็เป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป วูลฟ์เวอรีน เป็นคนแบบ ปัง ปัง ปัง
Q : แล้วเวลาที่คุณโกรธมาก ๆ คุณทำอย่างไรล่ะ
ฮิวจ์ แจ็คแมน : พอผมโกรธมาก ๆ ผมก็เดินหนีออกมา และมันก็ดีมากโดยเฉพาะกับคนที่มีลูกแล้ว และก็เพราะลูกที่ทำให้ตัวตนของคุณออกมาและทำให้คุณกลับไปอารมณ์เย็นเหมือนเดิม
Q : คุณชอบฉากไหนมากที่สุด
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ฉากที่สู้กันในห้องครัวของเพนตากอน ฉากนั้นมีควิกซิลเวอร์ มันทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่ผมดูฉากหลบกระสุนในหนังเรื่อง The matrix ฉากนี้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แม้กระทั่งดนตรีประกอบ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เราได้ถ่ายทำฉากนั้น เราลงทุนทั้งเงิน ทั้งเวลา ทุกอย่างให้กับฉากนั้นฉากเดียวได้เลย คนส่วนมากคิดว่าฉากนั้นเสร็จต้องผ่านขั้นตอนการตัดต่อใส่เอฟเฟกต์ผ่านดิจิตอล แต่ไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ผมชอบที่สุดคือ ฉากนั้นถ่ายทำกันเสร็จตั้งแต่ขั้นตอนการถ่ายทำโดยไม่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษเพิ่มเติม มันค่อนข้างซับซ้อนแต่ได้ผลมากทีเดียว
Q : หากคุณสามารถย้อนกลับไปในอดีตได้ กลับไปคุยกับตัวเองหรือคุยกับคนอื่น คุณจะย้อนกลับไปในช่วงเวลาไหน
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมจะย้อนกลับไปในช่วงที่ผมเรียนชั้นมัธยมปลาย ประมาณช่วงปี 1995 ตอนที่ผมอายุประมาณ 16-17 ปี ผมคิดว่าผมมีช่วงเวลาที่ดีในโรงเรียน แต่ผมค่อนข้างทำตัวเครียดไปหน่อย ผมจำได้ว่าคนอื่นมักจะบอกผมว่า "ไม่เป็นไร" ตอนที่ผมอายุ 16 ผมมักจะคิดว่าถ้าคุณล้มเหลว มันคือจุดจบของโลก ทุกสิ่งทุกอย่างมันสำคัญไปหมด และผมคิดว่าผมเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ แต่เมื่อผมมองย้อนกลับไป กลับคิดว่า ตอนนั้นผมต้องรับผิดชอบอะไรกันล่ะ ผมคงบอกกับตัวเอง ให้รู้จักผ่อนคลายบ้างสักนิด
Q : หากคุณย้อนกลับไปในอดีตได้ มีอะไรที่คุณอยากจะแก้ไขบ้าง
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ไม่ ผมคิดว่า ยิ่งคุณพยายามยอมรับชีวิตมากเท่าไหร่ เช่น คุณรู้ว่าไม่มีครอบครัวไหนที่สมบูรณ์แบบ คุณทำข้อผิดพลาดไปบ้าง หรือบางครั้งคุณก็เจอกับสาวสวยร้อนแรง ในท้ายที่สุด มันก็จะยิ่งมีคุณค่ากับคุณมากเท่านั้น มีคุณค่ามากกว่าความสำเร็จ ผมหมายความว่า เราทุกคนต่างต้องการที่จะประสบความสำเร็จตลอดเวลา และมันไม่มีทางเป็นไปได้ และคุณก็จะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ดังนั้น ผมคิดว่าผมชอบความคิดที่คุณจะได้ย้อนกลับไปถึงอดีตของตัวเอง เพียงเพื่อที่เราจะได้มองอดีตในมุมใหม่ ๆ มากกว่าที่จะกลับไปแก้ไขมัน
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ตอนนี้ผมก็ไปตรวจอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมควรทำก่อนหน้านี้ และผมก็ทาครีมกันแดด ซึ่งผมเองก็ทำมาตลอด 20 ปี แต่ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมไม่เคยทาครีมกันแดด ผมจำไม่ได้ว่ามีใครบอกผมให้ทาครีมกันแดด มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในอดีต ดังนั้น ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีอยู่ หมอเพิ่งตัดไหมผมไปเมื่อวาน และผมเองก็โชคดีที่มีคนคอยให้กำลังใจเสมอ
Q : วูลฟ์เวอรีนเหมือนจะดูไม่แก่ลงเลย คุณรู้สึกกดดันไหมที่ต้องมารับบทนี้
ฮิวจ์ แจ็คแมน : คุณรู้ดีว่า ถ้าพูดกันในแง่ของเรื่องร่างกายแล้ว มันเป็นเรื่องลำบากพอสมควร แต่ผมเองก็อยากดูแข็งแรง ผมเองอยากได้มากกว่าที่ผมเคยมี เมื่อผมมองย้อนกลับไปตอนที่ผมเล่นเป็นวูลฟ์เวอรีน ผมว่านั่นคือตอนที่ผมมีรูปร่างที่ดี แต่ตอนนี้ผมมีรูปร่างที่ดีกว่า และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ คุณต้องการเวลา สำหรับคนอายุขนาดผมแล้ว คุณต้องการเวลาที่จะกลับมาหุ่นดีอีกครั้ง ผมเองไม่ใช่คนมีวินัยสักเท่าไหร่ ดังนั้น คุณจึงต้องใช้เวลาที่จะให้ตัวเองกลับมารูปร่างดีอีกครั้ง อีกอย่างคือ เราเห็นผมหงอกของวูลฟ์เวอรีนในอนาคต ซึ่งสำหรับผมแล้วมันเป็นสิ่งที่ดี ส่วนมากคนจะคิดว่าเขาเป็นอมตะ ซึ่งมันไม่จริง เพราะเขาแค่แก่ช้าเท่านั้น ดังนั้น ผมค่อนข้างสนุกที่จะได้เล่นบทนี้มากกว่าที่ผ่าน ๆ มา วูลฟ์เวอรีนอายุเป็น 100 ปี เขาแก่ เขาเบื่อหน่ายโลก ผมจึงคิดว่า ผมแทบจะไม่ต้องแสดงเป็นวูลฟ์เวอรีนเลย ผมแทบจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นวูลฟ์เวอรีนตลอดเวลา
Q : หากคุณมีโอกาสที่จะได้แลกบทกับคนอื่นในเรื่อง X-men บทไหนกันที่คุณอยากจะเล่น
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมคิดว่าแม็กนีโต้ นี่เป็นตัวละครที่ดีเพราะ เอียนและไมเคิลเล่นเป็นตัวละครตัวนี้ มันมีความเข้มข้นในตัวบท และพวกเขาค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่พวก เขาทำอยู่ ผมไม่รู้ว่าคุณรู้ไหม แต่ X-men ฉบับหนังสือการ์ตูนดั้งเดิม เป็นการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ที่ มัลคอม เอ็กซ์ (Malcolm X) และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง (Martion Luther King, Jr.) ต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมือง มันเป็นเรื่องของการที่ว่า คุณจะรับมืออย่างไรกับการการเลือกปฏิบัติ และความอยุติธรรม คุณจะต่อสู้หรือคุณจะอยู่เฉย ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมชอบตัวละครแม็กนีโต้ และมันทำให้ผมเห็นว่า ความโกรธในตัวคุณทำให้คุณต้องการที่จะทำมันได้อย่างไร และถ้าคุณยังจำเรื่อง X-Men ภาคแรกได้ คุณจะได้เห็นฉากของแม็กนีโต้ในค่ายกักกัน หมายความว่า แม็กนีโต้ก็เคยมีประสบการณ์การถูกกีดกันแบ่งแยกมาก่อน
Q : ผมค่อนข้างประทับใจกับฉากหนึ่งที่ ชาร์ลส์ ซาเวียร์ (Professor X) ทำในสิ่งที่ผิดพลาด เดินหลงทางไปบ้างในบางครั้ง สำหรับคุณใครกันที่คอยให้กำลังใจในเวลาที่คุณเดินหลงทาง
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ภรรยาของผม แน่นอนล่ะ เราอยู่ด้วยกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว ทุก ๆ วัน ทุก ๆ สัปดาห์ คุณรู้อยู่เสมอว่าคุณต้องการกำลังใจจากใครสักคนให้มาช่วยฉุดรั้งคุณ และการที่ได้รู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเกิดคุณล้มเหลว ถ้าเกิดคุณทำผิดพลาด คุณจะโอเค
Q : แล้วเธอทำอย่างไรบ้าง
ฮิวจ์ แจ็คแมน : จริง ๆ เธอมักจะเป็นฝ่ายที่ถูกเสมอ แต่เธอเคยทำผิดพลาดอยู่ครั้งหนึ่ง ตรงที่เธอบอกให้ผมไม่ต้องไปออดิชั่น เพื่อรับบทวูลฟ์เวอรีน เธอบอกว่า ไม่ ไม่ มันต้องประหลาดมากแน่ ๆ เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า แต่พอเธอดูหนังเธอก็บอกว่า นี่คงเป็นครั้งเดียวที่ฉันยอมรับว่าฉันทำผิด
Q : คุณรู้สึกอย่างไรที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ X-Men คุณคาดหวังหรือไม่ว่าหนังเรื่องนี้จะมาไกลได้ขนาดนี้ ถึง 14 ปี
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ไม่เลย ผมไม่คิดว่าคนอื่น ๆ จะคิดว่าหนังจะมาไกลได้ขนาดนี้ คุณจำได้ไหม ตอนที่ X-men ออกมาในช่วงแรก ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ตไม่ได้มีสังคมออนไลน์หรือความรู้มาก มายขนาดนี้ Comic-Con เองก็เป็นแค่งานเล็ก ๆ มีคนแค่ 50,000 คนที่ให้ความสนใจ ตอนนี้งานนี้มีคนไปงานเยอะกว่า 700,000 มันกลายเป็นงานกระแสหลัก และใคร ๆ ก็ไปงาน Comic-Con แต่ตอนนั้นมันไม่ใช่ ตอนนั้นยังไม่มีใครเข้าใจความคลั่งไคล้ หรือรู้ปริมาณแฟนคลับของหนังสือการ์ตูน ส่วน ไบรอัน ซิงเกอร์เองก็ทำแค่หนังเล็ก ๆ เรื่อง The Usual Suspects (1995) เขาไม่เคยทำหนังใหญ่ของฮอลลีวูดมากก่อน ดังนั้น ไม่เคยมีใครคาดคิดเรื่องนี้ ในทางหนึ่งมันก็เป็นความเสี่ยง แต่สุดท้ายเราก็ได้ผลตอบแทนที่ดีกลับมา
Q : คุณรู้สึกกดดันไหมที่ต้องมารับบท วูลฟ์เวอรีน
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมไม่เคยรู้สึกกดดันอะไร และถ้าผมกดดันแล้ว ผมคงไม่รับบทเรื่องนี้ต่อ ผมหมายความว่า นักแสดงคนอื่น ๆ ก็คิดเหมือนกัน คือ ไม่มีอะไรที่ให้มาฟรี ๆ ไม่มีอะไรผิด หรือคุณต้องทำงานนี้ไปตลอดชีวิต มีนักแสดงหลายคนที่ไม่ได้ทำงานตลอดเวลา ดังนั้น นี่ไม่ใช่ตัวเลือก แต่ถ้าหากคุณมีตัวเลือก คุณเองก็อยากมีอิสระ คุณคงไม่อยากถูกกดดัน และนั่นทำให้ผมรักตัวละครตัวนี้ ผมรักตัวละครตัวนี้เหมือนกับตัวละคร ตัวอื่นที่ผมเล่น ทั้งเรื่อง The Prestige (2006), Prisoners (2013) หนังของ วู้ดดี้ อัลเลน (Woody Allen) หรือแม้กระทั่งหนังเรื่อง Australia (2008) หากผมไม่ชอบ ผมก็คงหยุดเล่น และผมคิดว่ามันคือข้อพิสูจน์ของคนทำหนัง ทั้งเนื้อเรื่องที่ดีขึ้น หรือแรงขับเคลื่อนตัวละครที่มากขึ้น ดังนั้น ผมรักที่จะเล่นตัวละครนี้ และผมไม่รู้สึกเครียดหรือกดดันแต่อย่างใด
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมกับโลแกนยิ่งต่างกันนะ ผมจะเล่าให้ฟัง ลูกชายของผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ผมได้ยินที่พวกเขาคุยกันในห้อง คนนี้เป็นเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเรียนได้ไม่นาน เขาถามลูกชายของผมหลายคำถาม ทั้งเรื่องวูลฟ์เวอรีน ทั้งเรื่อง X-men และลูกผมก็เงียบไป และสุดท้าย ลูกของผมก็บอกว่า นายต้องรู้อย่างหนึ่งนะ พ่อของฉัน ไม่มีอะไรที่เหมือนวูลฟ์เวอรีน เขาไม่ได้เท่ เขาไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่มีอะไรเหมือนวูลฟ์เวอรีนซักอย่าง ผมแอบฟังอยู่และผมคิดว่า นั่นนั่นถูกสุด ๆ เลย
Q : คุณคิดว่าใน X-men apocalypse และ Wolverine 3 จะเป็นตอนสุดท้ายของวูลฟ์เวอรีนหรือเปล่า
ฮิวจ์ แจ็คแมน : ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่สำหรับผมแล้ว ตราบใดที่ตัวละครนี้ยังอยู่ และแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ยังดำเนินต่อไปได้อย่างที่มันควรจะเป็น ในแบบที่สดใหม่ มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีเหตุผลที่จะทำหนังเรื่องนี้ต่อ ผมชอบเล่นหนังเรื่องนี้ และหากร่างกายผมยังไหว ผมชอบตัวละครนี้สุด ๆ ผมก็คงยังเล่นหนังเรื่องนี้ต่อไป
ทั้งนี้ X-Men : Days of Future Past คือการรวมตัวต่อสู้กับสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าเอ็กซ์-เม็น เพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสายพันธุ์ที่มีอายุข้ามสองยุคสมัย ใน X-Men : Days of Future Past เหล่าตัวละครโปรดจากหนังไตรภาค X-Men ต้นฉบับกลับมาผนึกกำลังร่วมกับตัวเองในอดีตจาก X-Men : First Class ในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอดีตเพื่อรักษาอนาคตของเราไว้
X-Men : Days of Future Past (X-เม็น : สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต) มีกำหนดฉายในบ้านเรา 22 พฤษภาคม นี้