
เจาะลึกภาพยนตร์ Argo กับพล็อตจริงอิงประวัติศาสตร์


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ rabbit full armor, คุณเจไดหนุ่ม
เผยเบื้องหลังภาพยนตร์ Argo กับพล็อตเรื่องชวนระทึกที่หยิบยกขึ้นมาจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ ในวิกฤตการณ์ตัวประกันที่อิหร่าน ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1979
คนที่เคยชมภาพยนตร์แนวดราม่าทริลเลอร์ที่กวาดรางวัลมาแล้วทั้งจากเวทีออสการ์ และลูกโลกทองคำ อย่าง "Argo" ก็คงจะยกนิ้วให้กับพล็อตเรื่องอันยอดเยี่ยม ที่ถ่ายทอดเรื่องราวการปฏิบัติการของซีไอเอในการนำตัวประกันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเตหะราน หลบหนีออกมาจากประเทศอิหร่าน หลังมีกลุ่มผู้ชุมนุมชาวอิหร่านบุกเข้าไปจับเจ้าหน้าที่กว่า 50 คนเป็นตัวประกัน โดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูต 6 คน หลบหนีออกมาได้ก่อน และไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของทูตแคนาดา ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้คนดูได้ติดตามชมด้วยใจลุ้นระทึก
เนื้อเรื่องและเหตุผลที่ดูสมจริงขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมาจากจินตนาการแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการสร้างภาพยนตร์โดยยกเค้าโครงมาจากเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เมื่อปลายยุค 1970 จากเหตุการณ์วิกฤตตัวประกันที่อิหร่าน ซึ่ง คุณ rabbit full armor สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ตั้งกระทู้ไว้ และ คุณเจไดหนุ่ม สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็ได้เข้ามาอธิบายและให้ข้อมูลลงลึกเรื่องประวัติศาสตร์เพิ่มเติม คอภาพยนตร์ลองอ่านแล้วทำความเข้าใจกับที่มาที่ไปของภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้ง
"ภาพยนตร์เรื่อง "Argo" นี้สร้างขึ้นโดยอิงเนื้อหามาจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วง "วิกฤตตัวประกันที่อิหร่าน" ช่วงปลายยุค 70 ครับ กล่าวคือหลังอิหร่านมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างสายฟ้าแลบในช่วงต้นปี ค.ศ. 1979 เมื่อ "พระเจ้าชาห์ ปัลลาวี" ของอิหร่านซึ่งเป็นผู้นำที่โปรตะวันตกอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูต้องเสด็จลี้ภัยไปอเมริกา เพราะถูกประชาชนประท้วงขับไล่ลงจากอำนาจ (สมัยนั้นอิหร่านโปรตะวันตกแค่ไหนก็ดูเอาจากที่ว่าเป็นเพียง ชาติเดียวในยุคนั้น นอกจากอเมริกาที่มีเจ้าหน้าแมว "F-14 Tomcat" ประจำการ) และแม้ว่า "พระเจ้าชาห์" จะทรงลี้ภัยไปยังอเมริกาแล้ว แต่รัฐบาลของอิหร่านภายใต้การค้ำจุนของกองทัพก็ยังคงทำการบริหารประเทศต่อไปได้อยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง
ทว่าจุดเปลี่ยนมาเกิดขึ้นเมื่อ "อะยา ตอลลาห์ โคมัยนี่ย์" ผู้นำทางศาสนาหัวรุนแรงที่เคยถูก "พระเจ้าชาห์" เนรเทศออกจากอิหร่านไปเมื่อ 15 ปีก่อน ได้ตรงดิ่งจากฝรั่งเศสกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนในอีกไม่กี่เดือนถัดมา โดย "โคมัยนี่ย์" เองเป็นที่เคารพรักของชาวอิหร่านและนักศึกษาในยุคนั้น ทำให้เขามีกองกำลังผู้สนับสนุนอยู่ในมือจำนวนมาก ซึ่งภายหลังกลุ่มผู้สนับสนุนเหล่านี้จะก่อสงครามจลาจลกับฝ่ายกองทัพและรัฐบาล (ช่วงนี้อเมริกาและตะวันตกเริ่มประกาศเตือนให้คนของตนเองออกจากอิหร่านแล้ว) จนในที่สุดหลังความวุ่นวายต่าง ๆ ผ่านไปในช่วงปลายปีค.ศ.1979 "โคมัยนี่ย์" ก็สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ และประกาศ "การปฏิวัติอิสลาม" ไปทั่วอิหร่านโดยหันมายึดถือแนวทางของศาสนาอิสลามในการปกครองประเทศแทนระบอบทุนนิยม



จากนั้นจึงเกิดการประท้วงขับไล่และต่อต้านชาวตะวันตกในประเทศอิหร่านอย่างหนักหน่วง โดยเหตุการณ์อันรุนแรงที่สุดคือมีการจับเจ้าหน้าที่สถานทูตและนักศึกษาชาวอเมริกันไปคุมขังไว้ พร้อมมีการเผยแพร่ภาพตัวประกันเหล่านั้นในสภาพถูกปิดตาและมัดมือเท้าออกมาทางสถานีโทรทัศน์ จึงทำให้ทางรัฐบาลอเมริกาต้องวางแผนอย่างเร่งด่วนเพื่อนำชาวอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกันกลับบ้าน (ยุคนั้น "จิมมี่ คาร์เตอร์" เป็นประธานาธิบดี) จนนำไปสู่จุดกำเนิดของปฏิบัติการชิงตัวประกันที่โด่งดังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ขึ้นมาภายหลังนั่นเองครับ (ดังเพราะล้มเหลวไม่ใช่สำเร็จ !)
โดยเรื่องราวที่เห็นในภาพยนตร์นั้นคือปฏิบัติการ "Canadian Caper" (ไม่ใช่ชื่ออย่างเป็นทางการ) ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกัน 6 คนตอนช่วงปลายปี ค.ศ. 1979 โดยฝีมือของทางการแคนนาดาและสายลับซี.ไอ.เอ.ที่แฝงตัวเข้าไปในฐานะทีมงานถ่ายภาพยนตร์ ส่วนการชิงตัวประกันอีกครั้งที่โด่ง ดังไปทั่วโลกคือ "ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรี" ร้องไห้ (Operation Eagle Claw) ตอนเดือนสิงหาคมปี ค.ศ. 1980 (ห่างกันเกือบ 1 ปี) ซึ่งเป็นภารกิจช่วยเหลือตัวประกันที่ล้มเหลวและน่าอับอายมากที่สุดครั้งหนึ่งของพวกอเมริกันชนคนเสรี นอกจากนี้ปฏิบัติการดังกล่าวยังเป็นการเปิดเผยตัวตนของหน่วย "เดลต้าฟอร์ซ" ออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก และความล้มเหลวของปฏิบัติการนี้เองที่จะทำให้กองทัพอเมริกันมีการจัดตั้งหน่วย "USSOCOM" ขึ้นมาในภายหลัง เพื่อบริหารและจัดการภารกิจรบพิเศษต่าง ๆ และยังเป็นจุดก่อกำเนิดของเจ้าเฮลิคอปเตอร์ "V-22 Osprey" อันโด่งดังด้วยครับ



โดยปฏิบัติการ "กรงเล็บอินทรี" นั้นมีขึ้นเพื่อจะช่วยเหลือชาวอเมริกันจำนวน 52 คนที่ถูกทางการอิหร่านจับตัวไว้ที่สถานทูตอเมริกัน ซึ่งแผนการคือกองทัพจะใช้หน่วยรบพิเศษ "เดลต้าฟอร์ซ" เป็นหัวหอกในการชิงตัวประกัน ด้วยการให้หน่วยจู่โจมลำเลียงด้วยเฮลิคอปเตอร์ "RH-53" ของนาวิกโยธินบินหลบเรดาห์ของอิหร่านไปซ่อนตัวอยู่กลางทะเลทราย จากนั้นจึงเดินทางด้วยรถบรรทุกที่สายลับซี.ไอ.เอ.จัดหามาเข้าไปยังสถานทูตและเปิดฉากโจมตีเพื่อช่วงชิงตัวประกันโดยมีกำลังทางอากาศสนับสนุน จากนั้นเฮลิคอปเตอร์จะมารับตัวประกันและหน่วยจู่โจมไปยังฐานทัพอากาศซึ่งหน่วย "เรนเจอร์" ของมะริกันกระจายกำลังปิดล้อมสถานที่เอาไว้
ก่อนที่หน่วยจู่โจมและตัวประกันจะขึ้นเครื่องลำเลียง C-140 ออกจากอิหร่านเป็นการปิดฉากปฏิบัติการโดยสมบูรณ์ แต่ทว่าพอถึงวันปฏิบัติการจริงกลับเกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น เฮลิคอปเตอร์บางลำเสียหายขณะไปถึงจุดเติมน้ำมัน อีกทั้งนักบินยังเจอสภาพทัศนวิสัยเลวร้ายมากจากพายุทราย ส่งผลให้เฮลิคอปเตอร์บางลำเสียหลักไปชนกับเครื่องบินเติมน้ำมันที่จุด "Desert One" จนเกิดการระเบิดขึ้น ทำให้ทางกองทัพต้องสั่งยกเลิกแผนอย่างสายฟ้าแลบในเวลาต่อมา จนหน่วยเดลต้าบางส่วนซึ่งไปถึงจุดนัดพบ (Desert Two) นั้นถูกโดดเดี่ยว มีบันทึกไว้ว่าทหารหลายคนถึงกับต้องขอความช่วยเหลือจากนักธุรกิจต่างประเทศเพื่อหาตั๋วเครื่องบินพาณิชย์ในการเดินทางหลบหนีออกจากอิหร่านเลยก็มี

***เกี่ยวกับหน่วย Delta-Force***
"เดลต้า-ฟอร์ซ" เป็นกองกำลังซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุค 60\'-70\' ซึ่งเวลานั้นภัยจากการก่อการร้ายกำลังทวีวงกว้างไปทั่วโลก บรรดานายทหารระดับสูงของพวกอเมริกันจึงมีแนวคิดที่จะจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษไว้รับมือกับการก่อการร้ายสากล แต่ทว่าด้วยความที่พวกอเมริกันไม่เคยเจอกับปัญหาการก่อการร้ายเช่นนี้มาก่อน จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากขาใหญ่ในอดีตซึ่งมีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน นั่นคือพวกผู้ดีตีนแดงแห่งเกาะอังกฤษครับ
โดยทางกองทัพบกได้จัดส่งนายทหารจากหน่วยรบพิเศษ (กรีนเบเร่ต์) จำนวนหนึ่ง ให้ไปฝึกฝนหลักสูตรของบรรดาพลพรรค "S.A.S." (Special Air Service) ที่เกาะอังกฤษอย่างเข้มข้นเป็นเวลาหลายเดือนและเมื่อนายทหารเหล่านั้นกลับมาก็นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาช่วยพัฒนาหลักสูตรเป็นเวลานับสิบปีจนสามารถจัดตั้งหน่วย "เดลต้า-ฟอร์ซ" ซึ่งเป็นหน่วยรบขนาดเล็กเคลื่อนที่เร็วและเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยล่าสุดเท่าที่มีในตอนนั้นได้สำเร็จ
โดยในยุคแรก ๆ นั้นกองกำลัง "เดลต้า-ฟอร์ซ" ถือว่าเป็นหน่วยลับสุดยอดที่ถูกปกปิดโดยรัฐบาลอเมริกันซึ่งชอบปฏิเสธการมีอยู่จริงของหน่วยดังกล่าว จนทำให้ "หน่วยเดลต้า" นั้นกลายเป็นเรื่องลึกลับที่ชวนให้สื่อมวลชนจำนวนมากพากันขุดคุ้ยข้อมูลต่าง ๆ กันอย่างสนุกมือ ในยุคนั้นเชื่อกันว่านักรบจาก "หน่วยเดลต้า" ล้วนเข้าไปมีบทบาทในการลอบสังหารผู้นำและบุคคลสำคัญของประเทศต่าง ๆ ที่เป็นภัยกับอเมริกา จนทำให้พวกสื่อพากันขนานนามบุคคลเหล่านี้ว่าเป็น "มือสังหาร" ของรัฐบาลอเมริกันเลยทีเดียว
กระทั่งเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ตัวประกันขึ้นที่อิหร่านในช่วงปลายปี ค.ศ. 1979 หน่วยเดลต้าจึงเริ่มปรากฏโฉมให้ผู้คนเห็นเป็นครั้งแรกในรูปแบบของกองกำลังรบพิเศษเคลื่อนที่เร็วซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมืออันไฮเทคทันสมัยที่สุดยิ่งกว่าหน่วยทหารใด ๆ ในกองทัพ แต่แล้วใน "ปฏิบัติการกรงเล็บอินทรี" ซึ่งรัฐบาลตั้งใจจะใช้กองกำลังบุกเข้าชิงตัวประกันชาวอเมริกันที่พวกอิหร่านจับไว้ ความล้มเหลวอย่างน่าอดสูครั้งแรกของหน่วย "เดลต้า-ฟอร์ซ" ก็ปรากฏแก่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก
โดยหลังจากภารกิจนี้ล้มเหลวหน่วย "เดลต้า-ฟอร์ซ" ยังเข้าไปมีบทบาทในการรบนอกเครื่องแบบที่อเมริกาใต้เพื่อปราบปรามพ่อค้ายาเสพติด การโรมรันในยุทธภูมิพายุทะเลทรายที่อิรัก ปฏิบัติการเดือดเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตยในโซมาเลียซึ่งประสบความล้มเหลว ภารกิจถอนรากถอนโคนผู้ก่อกรายร้ายในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2001 ภารกิจในอิรักเพื่อโค่นล้ม "ซัดดัม ฮุสเซน" เมื่อปี 2003 และปัจจุบันคือภารกิจไล่ล่าสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงต่าง ๆ ครับ








(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตอยู่กับท่าน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
