
ผู้หญิงที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำผู้ชาย 2 คนเดินทางไปยังดินแดนบนหลังคาโลก เพื่อจุดหมายที่เรียกว่า "ชัมบาลา" (สหมงคลฟิล์ม)

สวัสดีค่ะ ฝน นลินทิพย์ เพิ่มภัทรสกุล ค่ะ ก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาเข้าฉายค่ะ ฝนเรียนจบคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯค่ะ แต่ตอนนี้กำลังเรียนโทอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะบริหารการจัดการ เรื่องเข้าวงการได้ยังไง เป็นเรื่องบังเอิญมากค่ะ ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราเรียนอยู่ด้วย และมีพี่คนหนึ่งหานางเอกมิวสิควิดีโออยู่ และเขาอยากให้เราไปลองแคสท์ดู ซึ่งเป็นเอ็มวีตัวแรกชื่อเพลง "คนไม่มีเวลา" ใครที่รู้สึกคุ้นหน้าอาจจะบอกว่าไม่ค่อยเหมือนตอนนี้สักเท่าไร เพราะว่าประมาณสามสี่ปีมาแล้วค่ะ นานมาก ๆ แล้ว
หลังจากเอ็มวีออกไป ก็ทำให้ได้มีงานมาเรื่อย ๆ ก็ต้องขอบคุณพี่ผู้กำกับคนนั้นมากที่ทำให้เราก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วย ตัวต่อมาก็จะเริ่มมีเอ็มวีเพลงของพี่เบิร์ด แล้วพี่เบิร์ดเป็นนักร้องในดวงใจเราด้วย เราก็เลยรู้สึกว่าดีจังเลยและเป็นเกียรติมากที่ได้ถ่ายทำเอ็มวีกับพี่เขา ก็จะเป็นเพลง "อกมีเอาไว้หักพาสหนึ่ง" ของพี่เบิร์ดที่เราได้ร่วมเล่น นอกจากนั้นก็จะมีเอ็มวีที่ได้ร่วมงานกับพี่อนันดาในฐานะผู้กำกับเอ็มวีเรื่องแรกด้วย ชื่อเพลง "เพราะเรานั้นคู่กัน" ซึ่งเอ็มวีนี้เราไปถ่ายกันที่ระยอง และก็จะได้เห็นภาพสวย ๆ จากรถที่เราเอามาขับด้วย และอีกอันก็จะเป็นของพี่ตุ้ยเอเอฟ เพลง "กลับไปหลับสักคืน" ซึ่งตัวนี้เราจะเป็นคน ๆ หนึ่งที่เกิดเหตุการณ์รถชนกันและเราป่วย มันคือสร้างเรื่องราวให้อีกคนหนึ่งคิดถึงเรา แต่ถ้าพูดถึงเอ็มวีตัวล่าสุดตอนนี้จะเป็นของพี่ดา เอ็นโดรฟินค่ะ ก็คือเพลง "ยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอ" ซึ่งเป็นซิงเกิ้ลที่พี่ดาเขาทำให้โตโยต้าครบรอบห้าสิบปี ก็คือเพลงยิ่งรู้จักยิ่งรักเธอค่ะ อันนี้จะแอบเห็นออนในโฆษณาด้วย เพราะอันนี้เขาแยกมาเป็นความพิเศษของมัน คือจะเสนอถึงเรื่องราวความผูกพันที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ของโตโยต้าที่มาจากรุ่นสู่รุ่น เราก็เลยได้ร่วมงานกับเขาด้วย
นอกจากเอ็มวีก็มีพวกผลงานโฆษณาตั้งแต่นานมากแล้วค่ะ สองสามปีละ ก็มีทั้งซีพีและทรูสามจีที่ขึ้นไปถ่ายบนเขา ซึ่งพี่ผู้กำกับก็อยากแบบได้ฟีลอารมณ์หนาวมาก เราก็ต้องยกกองถ่ายขึ้นไปถ่ายบนนั้นด้วย ตอนนี้ก็มีรายการวิทยุค่ะที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น แต่ก็ต้องรอดูต่อไป ก็จะมีรายการค่ะเป็นรายการไล์ฟสไตล์ของผู้หญิง ซึ่งเป็นเกี่ยวกับแฟชั่น ท่องเที่ยว ชื่อรายการ "โฮมสวีทโฮม" ของช่อง 5 ที่ผ่านมา และก็กำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตก็คือชัมบาลานั่นเอง แต่ก่อนหน้านี้ก็จะมีภาพยนตร์ที่ทำดีเพื่อพ่อของในหลวงในช่วงห้าธันวาคมที่ผ่านมา เรื่อง "ทางแยกวัดใจ" ก็เป็นพาสหนึ่งที่ทำให้คนไทยอยากทำความดีเป็นสื่อกลาง

ก็คงเป็นเด็กแบบโก๊ะ ๆ คนหนึ่งล่ะ เป็นเด็กขี้ลืม เป็นคนมีความฝันนะคะ คือตั้งแต่เด็ก ๆ ละ คือพ่อกับแม่ก็จะชอบให้ไปประกวด อย่างแบบว่าถือป้ายร้องเพลงตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แล้ว ถ้าถามว่าเราเป็นคนขี้อายไหม เราเป็นคนขี้อายมาก เพราะตอนนั้นเป็นเด็กเราก็คงไม่ได้คิดว่าเป็นความอายหรืออะไร ทำแบบสนุก ๆ แต่พอเริ่มโตขึ้น เราก็รู้สึกว่าเราเริ่มหาความฝันและความชอบในสิ่งที่เรารักแล้ว พอเริ่มเข้ามหาลัยก็เริ่มที่จะเข้ามาทำงานในด้านนี้ พอมันเริ่มงานหนึ่งเรารู้สึกว่า เออเรารักจังเลยในด้านการแสดง ซึ่งเราอาจจะมีประสบการณ์ในตอนเด็ก ๆ ที่เคยทำโน่นนี่มาแล้วบ้าง พอมาเริ่มหนึ่งแล้ว เออเราอยากมีความฝัน เหมือนเราดูมิวสิควิดีโอตัวหนึ่งแล้วเรามีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นจังเลยนางเอกคนนี้ หรือว่าคนดู ๆ เราจะอินยังไงบ้าง และเรื่องภาพยนตร์มันคือหนึ่งอย่างเหมือนกันที่เป็นความฝันของเรา


อย่างตอนแรกนะคะก็ประมาณสัก 7 ขวบได้ค่ะ คือพ่อแม่รู้สึกว่าน่าเอาไปทำอะไรสักอย่าง เขาก็เลยส่งเราเข้าประกวดเต้นของโรงเรียน เราก็เลยรู้สึกว่าตอนนั้นก็เหมือนเป็นเด็กน่ะ ชอบแต่งตัว ไปฝึกเต้นกับเพื่อน แต่เรารู้สึกว่าพอผ่านช่วงนั้นมาแล้ว เออเราก็น่าจะมีความฝันที่มันเป็นตัวเป็นตนได้ เราก็พยายามหา หาอย่างช่วงสักประมาณยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสองตอนอยู่มหาวิทยาลัยเริ่มที่จะมีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการ เรารู้สึกว่าเราได้แต่งตัว เอ๊ะมีกล้องมีคนที่ร่วมงานเป็นทีมงาน เรารู้สึกว่าเราชอบแล้ว และวันหนึ่งเราได้มาทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในหนังก็เลยรู้สึกว่า มันไม่ง่ายนะ เพราะที่ผ่านมาฝนต้องแคสท์งาน ต้องผ่านการประกวดอะไรอีกมากมาย และวันนี้มันเป็นจริง เราภูมิใจจังเลยที่มันเป็นจริงขึ้นมาวันนี้

คือฝนเคยร่วมงานกับพี่พีทแล้ว ซึ่งพี่พีทเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของเรื่องนี้ และเคยร่วมงานของเอ็มวีมาก่อน พี่พีทก็เลยลองโทรมาให้เราไปแคสท์ดู ตอนแรกมันตื่นเต้นเหมือนเป็นหนังเรื่องแรก เราต้องอ่านบททุกอย่าง ซึ่งก็จะมีพี่ผู้ช่วยคอยบรีฟว่าเราจะต้องเล่นซีนไหนบ้าง ซึ่งซีนที่ฝนได้รับเป็นซีนเริ่มต้นกับซีนตอนจบ ซึ่งเรื่องของอารมณ์มันแตกต่างกันมาก เอ๊ะเราจะทำยังไงดีนะให้เราเล่นซีนแรกกับซีนตอนจบให้มันดี เราก็จะคอยถามเขาว่ามันประมาณไหนก็เริ่มค่อยบรีฟ เออมันคือหนัง มันคือครั้งแรกที่เราได้จับบท และเราก็เล่นออกมามันรู้สึกดี แค่เราเล่นออกมามันก็รู้สึกดีแล้ว อย่างผู้กำกับพี่ปี๊ด เขาเป็นผู้กำกับหนังที่ชัดเจนอยู่แล้ว และเรื่องคาแรคเตอร์เขาก็เลือกออกมาได้ชัดเจนเหมือนกัน เราก็อืมโปรเจคท์นี้เราได้ยินมานานมาก เคยได้ข่าวว่าคนมาแคสท์เยอะมาก เราก็แอบยิ้มเหมือนกันคนแคสท์เยอะมาก เอ๊ะยังไงดีทำไมผู้กำกับถึงเลือกเรา ก็แอบงง

ครั้งแรกที่ได้รับบทในการที่จะแคสท์ ก็จะเป็นซีนแรกกับซีนสุดท้าย ซึ่งเราตื่นเต้นตั้งแต่ที่ได้รับบทแล้วซึ่งบทมันมีความแตกต่างและมันก็ยากมากด้วย ซีนแรกจะเป็นซีนที่เราเจอกับพระเอก ตอนแรกเราต้องจินตนาการว่า ถ้าเราเจอกับคน ๆ หนึ่งซึ่งแบบเป็นคนกวน แต่เราก็มีจุดยืนในมุมของเรา และเรามีความมั่นใจกล้าคิดกล้าทำ เราจะสู้กับเขายังไงดีกับความรู้สึก แต่พอมาเป็นซีนสุดท้ายหักมุม อยู่ดี ๆ ก็เป็นเรื่องดราม่า ซึ่งเนื้อเรื่องตอนกลางเรายังไม่ได้ถูกรับรู้อะไรเลย และเราต้องจินตนาการเองว่าถ้าจบออกมามันต้องดราม่าขนาดนี้ เราจะร้องไห้ไหมหรือเราจะทำยังไงให้มันเศร้า ซึ่งมันยากตั้งแต่เรารับบทครั้งแรกแล้ว และพอวันหนึ่งเรารู้สึกว่า เฮ้ยเราได้บทนี้นะ มันบอกไม่ถูก อย่างที่ฝนบอกตั้งแต่แรกว่ามันคือความฝัน มันคือภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตด้วย วันหนึ่งมันเป็นเราที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้คนอื่นได้เห็นบ้าง โอ้โหดีใจและยิ่งมารู้ว่าเล่นกับพี่ซันนี่ซึ่งเป็นพระเอกในดวงใจใครหลาย ๆ คน และฝนก็ติดตามผลงานเขาด้วย ซิทคอมเขาอะไรหลาย ๆ อย่าง หนังเรื่องเพื่อนสนิทเรื่องแรกเราก็ดูเรื่องของเขา แต่วันนี้เราได้เล่นประกบคู่กับเขา โอ้โหทั้งนักแสดงคุณภาพและหนังก็น่าสนใจมาก ๆ ในเรื่องของคาแรคเตอร์ที่เราได้รับเล่นด้วย

อย่างเสน่ห์ของตัวละครที่ชื่อ "น้ำ" นะคะ คือตอนแรกที่ฝนอ่านบทเลย รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่น่าอยู่ด้วยมาก ๆ เพราะเขาเป็นคนที่มีความคิดในแง่บวกตลอดเวลา พอเราคิดในแง่บวกก็มักจะได้รับอะไรที่ดี ๆ เสมอ เราว่าเขามีเสน่ห์มาก เขาเป็นคนที่คอยสนับสนุนคนอื่น เหมือนเป็นตัวนำในการให้แรงบันดาลใจการใช้ชีวิตของคนหลาย ๆ คนด้วย แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์แล้ว เรื่องบทที่ได้รับมาถามว่ามันไกลตัวไหม มันอาจจะไกลตัวในเรื่องของบางเรื่อง ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ศรัทธาในความรักมาก ๆ ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่า อะไรเอ่ยที่มันทำให้เรารู้สึกว่าดึงความศรัทธาของความรักออกมาได้ถึงตัวละครนั้น มันก็เลยต้องมีการปรับเปลี่ยน อย่างมีการเวิร์คช้อป ผู้กำกับพี่ปี๊ด พี่อนันดา พี่ซันนี่ พี่โอซาและก็ฝนเอง เราก็คุยกันว่าคาแรคเตอร์แต่ละคนเนี่ยอยากได้ประมาณไหน อย่างของฝนอยากได้เป็นผู้หญิงมองโลกในแง่ดีนะ คอยแบบให้กำลังใจแฟน และก็มีแรงศรัทธาในความรักเยอะมาก เราก็เลยต้องมาปรับเปลี่ยนเพื่อให้อินกับบทที่สุด


ถ้าจะเทียบคาแรคเตอร์ของ "ฝน" กับ "น้ำ" คือจะเป็นคนที่ใกล้เคียงเรื่องของมุมมอง เป็นคนมองโลกในแง่ดีซะส่วนใหญ่ที่จะมองในแง่ลบ เรารู้สึกว่ามันมีกำลังใจในการทำงานดำเนินชีวิตมากกว่า แต่เรื่องของความศรัทธาในเรื่องความรัก เราต้องทำให้ได้มากเท่าตัวละคร ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้นก็เลยเอามาปรับเปลี่ยนแล้วก็หาเรื่องราวที่มันทำให้เรารู้สึกกับตัวนั้นจริง ๆ คาแรคเตอร์น้ำตัวนี้ คือตั้งแต่ครั้งแรกในชีวิตที่เราได้รับบท ๆ หนึ่งแล้ว เราต้องเล่นให้มันเป็นตามคาแรคเตอร์นั้น ซึ่งเราต้องเรียนรู้ตั้งแต่ความเป็นมาของชีวิตน้ำตั้งแต่เด็กจนถึงเขามีวุฒิ (ตัวละครที่รับบทโดยซันนี่) อยู่ในทุกวันนี้ เราเลยรู้สึกว่าจะทำยังไงดีให้เป็นน้ำ เราเลยต้องศึกษาในแง่ของมุมมองและก็การดำเนินชีวิตของเขา วิธีคิดซึ่งมันยากตรงที่เราทำยังไงให้เราไปอยู่ในความคิดของเขาและเป็นตัวเขาจริง ๆ อย่างเรื่องถ่ายทอดความรู้สึกของน้ำ มันมีตั้งแต่เจอพระเอกตอนแรกเลยตั้งแต่เชือดเฉือนอารมณ์กัน เพราะต่างคนก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเองซะส่วนใหญ่ ก็อาจจะมีมุมกวน ๆ นิดนึง แต่พอเรารู้สึกว่าวันหนึ่งมันเกิดความรักขึ้น ก็จะเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่ดี ๆ ที่เราแบ่งปันความรู้สึกให้เขา แต่พอหลังจากนั้นไปมันก็อาจจะเป็นมุมมองที่อาจจะไม่ผ่านคำพูด แต่มันเป็นความรู้สึกของคนที่รักกันแล้ว อาจจะมองด้วยสายตาก็น่าจะรู้แล้วค่ะ จริง ๆ มันมีหลายอารมณ์มากในแต่ละตอนแต่ละซีน

สำหรับคาแรคเตอร์ "น้ำ" นะคะ เป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่บวกค่ะ ชอบท่องเที่ยว รวมถึงเขามีงานอดิเรกเป็นงานถ่ายรูป รวมถึงเขายังมีร้านกาแฟเล็ก ๆ และก็พอมันถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว เขาอยากไปท่องเที่ยวรอบโลกเลย ถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างที่มันอยู่บนโลก เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงตัวแทนในเรื่องของแรงบันดาลใจ รักอิสระ รักศิลปะค่ะ ส่วนทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับวุฒิเนี่ย เขาเป็นแฟนกันมาและก็ใช้ชีวิตร่วมกัน เรียกว่าเป็นการให้กำลังใจและก็เติมเต็มกันอยู่ตลอดเวลา และเราก็มีร้านกาแฟเล็ก ๆ อยู่ด้วยกัน ซึ่งคู่รักหลายคู่ก็คงอยากมีร้านกาแฟเล็ก ๆ มันเหมือนเป็นตัวแทนของความน่ารักของความเป็นคู่รักกัน และในร้านสังเกตุได้ว่าจะมีโปสการ์ดที่ทั้งคู่ได้ไปถ่ายกันมาจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเลย ยกเว้นที่เดียวคือทิเบตที่เราสองคนยังไม่เคยไปถ่ายรูปด้วยกัน อันนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่ทำให้วุฒิอยากไปถ่ายรูปให้น้ำ ก็เลยเกิดทริปไปทิเบตขึ้นของวุฒิกับทินพี่ชายซึ่งรับบทโดยอนันดา มีจุดหมายปลายทางคือชัมบาลานั้นเอง ชัมบาลาก็คือดินแดนสรวงสรรค์แห่งความสงบที่เรียบง่าย

คืออย่างชีวิตคนในปกติแล้ว ถ้าเป็นคนที่รักกันก็อยากที่จะทำอะไรให้กันอยู่แล้ว แต่ในคาแรคเตอร์วุฒิกับน้ำ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นเหมือนอยากไปให้กับคนรักคนหนึ่ง ซึ่งมันมีความศรัทธามาก ซึ่งทิเบตมันไปไม่ง่ายค่ะ และรู้สึกว่าการเดินทาง อากาศและความเป็นอยู่ มันไม่ใช่บ้านเราค่ะ มันเลยมีแรงศรัทธามากขนาดเขาอยากทำให้ขนาดนั้น มันก็ยิ่งใหญ่มากแล้วสำหรับคน ๆ หนึ่งที่ทำให้คนรัก แล้วยิ่งที่ได้ชมในภาพยนตร์ เราจะเห็นว่าตัวน้ำเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้วุฒิรู้สึก รู้จักการใช้ความรักและก็ดำเนินชีวิตเป็นแรงบันดาลใจ เอาด้านความอ่อนโยนด้านความรักของวุฒิออกมาได้ด้วยค่ะ คนดูก็จะเห็นว่าความศรัทธาและความเชื่อมั่นในความรักของวุฒิมันมีมากที่จะทำให้คนที่ตัวเองรักอย่างเช่นน้ำ

คือสิ่งที่เป็นคุณค่าทางจิตใจค่ะ ที่เรารู้สึกว่ามันเป็นการเปิดรับสิ่งดี ๆ และความอ่อนโยน มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ซึ่งหาได้ยากมากจากจิตใจคน มันต้องถูกเปิดออกค่ะถึงจะได้พบกับคำว่าชัมบาลา


ส่วนตัวฝนแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องของความรัก เราศรัทธาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรักรอบ ๆ ตัวเรา ครอบครัว เพื่อน หรือว่าจะเป็นคนรักก็ตาม มันคือการให้ค่ะ แค่เราให้เราก็รู้สึกว่า มันอิ่มใจและรู้สึกว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ นั่นคือความศรัทธาง่าย ๆ ของคน ๆ หนึ่งที่จะทำให้คนที่เรารักมีความสุขค่ะ

เคยทำนะ อย่างในเรื่องความรักที่เราทำให้กับแม่ง่าย ๆ ค่ะ คนใกล้ตัวที่เขาเลี้ยงเรามาตั้งนานแล้ว พอเรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรให้เขา แค่ให้เขามีความสุข และเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราให้เขาไป เขาได้รับและเขารู้สึก นั่นแหละมันคือได้รับกลับมาแล้วค่ะ

ชัมบาลาเป็นเรื่องราวของความรัก ความศรัทธาของคน ๆ หนึ่งจะทำให้คน ๆ หนึ่งได้ และก็จะสื่อถึงความสัมพันธ์ของพี่น้อง ก็จะเป็นพี่ซันนี่ที่รับบทเป็นวุฒิกับทินนั่นคือพี่อนันดานั่นเอง รวมถึงระหว่างคนรักก็คือน้ำกับวุฒิด้วย เรื่องราวก็จะดำเนินไประหว่างพี่น้องสองคนซึ่งมีความแตกต่างกันมาก อย่างวุฒิจะเป็นคาแรคเตอร์ที่ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา อ่อนโยน ส่วนทินพี่ชายจะเป็นคนที่หยาบกระด้างมาก เป็นคนหัวดื้อมาก ที่ต้องเดินทางไปด้วยกัน จุดหมายคือทิเบต ดินแดนที่อยู่บนความสูงสี่พันเมตรโดยมีน้ำเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจที่ทำให้วุฒิต้องเดินทางไปตรงนั้น ระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางไปทิเบตด้วยกันก็จะเจอเรื่องราวเยอะมาก ทั้งความร้อนที่สุดและความหนาวที่สุด ต้องเผชิญกับทั้งสภาพอากาศ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดการเดินทาง โดยที่ทั้งคู่ที่นอกจากจะมีแนวความคิดแตกต่างกัน แต่กลับต้องมาอยู่ด้วยกัน ก็จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่เถียงกันทะเลาะกัน ผิดใจกัน ดูแลซึ่งกันและกัน ซึ่งเราอาจจะไม่ได้เห็นความสัมพันธ์ของพี่น้องสองคนในมุมนี้สักเท่าไร และเรื่องราวในระหว่างนั้น ทั้งคู่ก็จะค่อย ๆ ซึมซับความอ่อนโยนและความศรัทธาของคนที่นั่นไปด้วยจนทำให้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ไปพร้อมกับการเดินทางเพื่อค้นหา "ชัมบาลา" แต่ถ้าอยากรู้ว่าชัมบาลาคืออะไรต้องติดตามกันในหนังค่ะ

เริ่มแรกเลย ร่วมงานกับพี่ซันนี่ ซึ่งเป็นพระเอกในดวงใจใครหลาย ๆ คน และก็ห่างหายจากภาพยนตร์ไปนานแล้ว และก็กลายมาเป็นเราประกบคู่กับเขา เราก็ต้องยินดีก่อนค่ะ ดีใจมากที่ได้เล่นคู่กับเขา เขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ก่อนหน้าที่เราจะได้รับบทเล่นกับเขา เราจะมองคาแรคเตอร์เขาเป็นคนตลก เพราะเราจะติดตามผลงานเขาไม่ว่าจะเป็นซิทคอมหรือว่าหนังที่ผ่านมาของเขา ซึ่งจะบอกว่าเรื่องนี้พลิกคาแรคเตอร์เขาด้วย เป็นครั้งแรกที่เขามาเล่นดราม่า ซีนแรกที่ฝนได้มาเล่นกับพี่ซันนี่เป็นซีนที่ร้านกาแฟ ซึ่งตอนนั้นเป็นซีนที่เราไม่ค่อยได้คุยกับเขาอยู่แล้ว เขาก็เกร็ง ๆ เราก็เขินนิดนึง แต่ซีนนี้ก็เป็นเรื่องราวซึ่งฝนต้องตบหัวเขาด้วยและก็หลายทีมากด้วย จนเขาบอกว่าตบทีเดียวแรง ๆ ไปเลย จะได้ทีเดียวจบ เราก็โอเค เล่นไป เราก็เริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่นะ พอเล่นด้วยเรารู้สึกว่าไม่เกร็งแล้วค่ะ พอหลังจากซีนนั้นไป และเราได้ร่วมเดินทางไปทิเบตด้วยกัน ซึ่งเราก็ได้ใกล้ชิดกับเขาทั้งเรื่อง ไลฟ์สไตล์ความเป็นอยู่ปกติของเขาเลย คือเขาเป็นคนตลกค่ะ คือเขาพูดคำเดียวเขาก็ตลกแล้ว คือใครเห็นเขาในซิทคอมเขาเป็นคนยังงั้นเลย เป๊ะมาก

และระหว่างการเดินทางมันไม่ง่ายเลยไงคะ ก็นั่งรถสิบกว่าชั่วโมง ก็จะมีการบ่นกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งคนที่บ่นมากที่สุดคือพี่ซันนี่ คือเขาจะบ่นตลอดทางเลยว่าแบบ อุ๊ยก่อสร้างโน่นนี่นั่น ก็ตลกค่ะ เขาก็ทำให้คนอื่นไม่เครียดด้วย ด้วยความที่คาแรคเตอร์เขาน่ารักด้วย ร่วมงานก็คือสบายใจค่ะ ไม่เกร็งเวลาเข้าซีนกับเขา อย่างเราเดินทางไปทิเบตใช่ไหมคะ เราใช้เวลาไม่ว่าจะเครื่องบินสามชั่วโมงแล้ว ต้องนั่งรถโค้ชอีกสิบสองชั่วโมงกว่า ซึ่งโหดมาก แต่ละคนรู้สึกว่าทำไมการเดินทางสองข้างทางจะเป็นเหวหมดเหมือนมีเลนเดียว แต่เอ๊ะมักจะมีรถสวนมาเสมอ ๆ ยังถามว่าเอ๊ะจะไปยังไงกัน ก็จะมีการหยุดตลอดเวลาในการเดินทาง ซึ่งกว่าจะถึงก็ตีสามของวันนั้นแล้ว ซึ่งอากาศแบบสามองศาแบบลมวูบมาก แต่พอไปถึงเรารู้สึกว่านี่คือทิเบต มันมีทั้งแดดที่แรง ๆ ค่ะ คือเราเคยคิดอยู่ว่า เอ๊ะทำไมคนทิเบตแก้มแดงจัง เราอาจจะคิดว่าเขาสุขภาพดี แต่เปล่าเลยคือแดดมันแรงมากทำให้ผิวเป็นแบบนั้น ซึ่งการปรับตัวของเรา มันยากมาก
อย่างพี่ซันนี่อาจจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ซึ่งตอนเขาไปเขาป่วยด้วยเจ็บคอต้องทานยาตลอดเวลา ซึ่งที่นั้นอากาศก็หนาวด้วยและก็ทั้งร้อนและหนาวปนกัน ทุกคนก็มีสุขภาพไม่ดีเท่าไร ทุกคนก็ดูแลกันตลอดเวลา อย่างเราเห็นเขาป่วยก็เอาน้ำอุ่นไปให้บ้างเอายาไปให้กินอยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็เหมือนการดูแลกันค่ะ ซึ่งที่โน่นมันก็สวย จนบางทีเราลืมไปว่ามันหนาวมากขนาดไหนหรือว่าร้อนขนาดไหนไปแล้ว อย่างพี่ซันนี่พอเราไปถึงทิเบตแล้วใช้ชีวิตด้วยกันตลอดเวลา ลงมากินข้าวลงมาซื้อของ เขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยซื้อของ เพราะเราเห็นเขาเป็นคนที่ชอบเดิน โอ๊ะอันนี้ก็ไม่ใช่นะแล้วก็ไม่ซื้อ แต่ทุกคนจะขนของเยอะมาก ไม่ว่าจะมีของฝาก เดินเล่น ช่วงเวลาที่เราไม่ได้ถ่ายกัน รวมถึงการกินที่นั่น เขาจะมีการกินที่แปลกมากไม่เหมือนคนไทย พี่ซันนี่ก็จะไม่ค่อยถูกกับอาหารที่นั่น ก็จะกินง่าย ๆ อย่างไข่เจียวหรือมีอะไรที่แบบง่าย ๆ ไม่ยาก คือส่วนใหญ่ก็กินไม่ค่อยได้เท่าไร ก็จะหาอะไรกินง่าย ๆ ยังไงก็ได้ แต่เขาไม่ค่อยกินอารมณ์นั้น แต่ถามว่าเขาเป็นคนตลกในเรื่องของมุมมองความน่ารักของเขา ไลฟ์สไตล์ของเขาการใช้ชีวิตของเขาไม่ยากไงคะ เขาอยู่ยังไงก็ได้ อะไรก็ได้ ถ้าในเรื่องของการทำงานพี่ซันนี่ก็จะอีกมุมเลยนะคะ ถ้าเราเห็นเขาในมุมที่เป็นไลฟ์สไตล์เขาจะเป็นคนตลก แต่ถ้าในเรื่องของการทำงานเขาเป็นคนที่ตั้งใจในการทำงานมาก อย่างซีนที่เข้ากับฝน เขาก็จะมาบอกเราก่อนว่าคาแรคเตอร์เขาเป็นแบบนี้นะ จะมีการบรีฟการส่งอารมณ์ในแต่ละซีนที่จะเข้าแต่ละครั้ง อย่างไปทิเบตอาจจะไม่ได้เข้าซีนอะไรกันเยอะแยะ แต่ว่าจะเห็นเขาเข้าซีนกับพี่อนันดา เราก็แบบโอ้โหเขาเก่งนะ เป็นเหมือนนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งเลยทีเดียว เราก็โชคดีที่ได้ร่วมงานกับเขาด้วย เพราะเขาสอนเราให้เราเข้าใจในเรื่องการแสดงมากขึ้นกว่าที่เรารู้อีก

ในเรื่องของการเดินทางไปใช้ชีวิตถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องชัมบาลาที่ทิเบต ซึ่งครั้งแรกที่เราได้ยินว่าจะได้ไปคือมันดีใจมาก และช่วงที่เขาไป scout โลเกชั่น (หาจุดหรือสถานที่ถ่ายทำ) ดอกไม้บาน ทุ่งหญ้าเขียวขจี แต่เอาเข้าจริงแล้วช่วงที่เราไปมีแต่หิมะค่ะ และก่อนที่เราเดินทางไป เรานั่งเครื่องไปลงที่เฉินตู (เมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน อันดับ 3 ของประเทศ) และก็ต่อด้วยรถโค้ชอีกประมาณสิบสองชั่วโมงกว่า กว่าที่เราจะเดินทางไปถึงทิเบตนี่คือ ถือว่าทรหดอดทนมาก มันไม่ง่ายเลยค่ะ สิ่งที่คาดฝันไว้มันนึกไม่ออกว่ามันจะเป็นแบบนั้น เพราะการเดินทางเรา คือตลอดเส้นทาง เรานั่งรถโค้ชไปสองข้างทางอย่างที่มันเป็นเหวแล้วมันกำลังสร้างทางอยู่ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางนานมาก เพราะเราจะต้องหยุดตลอดเวลา แล้วอากาศที่มันอยู่ในรถ รวมถึงฮีทเตอร์ที่มันช่วยอะไรไม่ได้ เพราะมันหนาวมาก ๆ แต่พอมันไปลงตรงนั้นสักประมาณตีสามค่ะที่ถึงเมือง ถึงโรงแรมตรงนั้นลมพัด เรียกได้ว่าติดลบและลมเย็นมาก และแต่ละวันที่เราใช้ชีวิตอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกินมันก็แปลกจากที่ไทยแล้ว เพราะที่นั่นเขาจะเป็นการกินอะไรที่เป็นไขมันซะส่วนใหญ่ เพราะเขาเชื่อว่าทำให้ร่างกายเราอบอุ่น แต่เราเป็นคนไทยกลับคิดว่าเอ๊ะมันเป็นไขมัน ซึ่งทุกคนก็จะน้ำมันน้อยลงได้ไหม อย่างไปบอกกุ๊กหรือไปบอกพ่อครัวหลายวันเข้า เพราะคนเริ่มรู้แล้วน่ะค่ะว่าคนไทยมา เขาก็จะลดน้ำมันลงและเป็นการกินที่เริ่มสบายขึ้น

ส่วนเรื่องโรงแรม เตียงนอนทุกคนจะต้องเปิดฮีทเตอร์ให้เตียงมันอุ่น ซึ่งไม่งั้นเราจะนอนไม่ได้เลย เพราะว่าอากาศข้างในมันหนาวมากและทรมานมาก และช่วงที่เราจะต้องไปถ่าย แต่ละที่มันทั้งติดลบ หิมะตก และรวมถึงข้างทางจะมีจามรี ซึ่งจามรีเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของทิเบตเลยทีเดียว เพราะว่าจามรีเป็นได้ทั้งเครื่องนุ่งห่ม ได้ทั้งเอามากิน ซึ่งทีมงานและผู้กำกับโปรดปราณจามรีสด ๆ ซึ่งฝนไม่กินเพราะฝนไม่กินเนื้ออยู่แล้ว คือจะเป็นฝนคนเดียว พี่อนันดากับพี่ซีนนี่จะอารมณ์แบบเรียกได้ว่าสั่งมาอันลิมิตมาก ๆ สามสี่จาน ในห้องที่เขาแบ่งกันนี่ โอ้โหข้างในฮือฮามาก สงสัยจะอร่อยจริง และบะหมี่ก๋วยเตี๋ยวที่นั่นก็จะแปลก ๆ เราจะรู้สึกว่าเราไม่เคยกินที่ไทยนะ และก็ข้างทางก็จะเป็นของฝาก แต่ที่สังเกตุได้ จะเป็นพวกระฆังมนต์ที่เราเห็น ซึ่งมันเป็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็นเลยในบ้านเรา มันเป็นวัฒนธรรมของที่โน่นด้วย
ส่วนอากาศก็แปรเปลี่ยนตลอดเวลา มีหิมะตกวันนี้ วันนี้ร้อนจัดตอนกลางวัน ซึ่งสองอย่างนี้รวมกัน บางคนก็กินยาลดความกดอากาศของที่นั่นเลย เพราะมันทำให้เราป่วยมาก ๆ ทุกคนต้องดูแลตัวเองและก็มีการเข้าไปในชัมบาลาด้วย ซึ่งฝนอาจจะไม่ได้ไปเพราะเป็นผู้หญิง ต้องขี่ม้าเข้าไปสามชั่วโมงเต็ม ๆ ซึ่งก่อนที่เราจะไป เรามีการลาทีมงานด้วย ซึ่งก่อนที่ไปประมาณหกโมงเย็นของที่นั่น แล้วหิมะมันตกแรงมาก เราก็แอบเป็นห่วงนะว่าทุกคนจะไหวไหมแต่ก็ให้กำลังใจ เพราะว่าเห็นเขาขี่ม้าเข้าไปข้างใน และพอทุกคนกลับมาก็บอกว่าอุ๊ยอาหารไม่พอ เครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่าง จนเรารู้สึกว่ามันเป็นครอบครัวเดียวกัน มันไปด้วยกันทุกคนเลย นี่แหละคือทิเบตที่ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันและฟันฝ่าอุปสรรคมาและก็ภาพการแสดงบรรยากาศทุกอย่างมันรวมมาหมดแล้ว

อย่างพี่ซันนี่กับพี่อนันดาเป็นการพบกันครั้งแรกของนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ๆ แล้วมันคงเป็นเรื่องยากนะที่ทั้งคู่จะมาโคจรพบกัน แต่เรื่องนี้คือเรื่องแรกด้วย อย่างฝนเห็นการแสดงของเขาทั้งคู่ เรารู้สึกเลยว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีคุณภาพมาก ๆ และเราจะได้คำปรึกษาจากเขา ซึ่งเราโชคดีมากเวลาที่เราจะเข้าบทไหนเราก็จะปรึกษาเขาได้ แต่พอเรามาเห็นเขาเล่นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นซีนอารมณ์ ซีนตลก ซีนความสัมพันธ์ของพี่น้อง ซึ่งเป็นแบบความรัก อย่างมีหลาย ๆ ซีนที่เป็นการพลิกคาแรคเตอร์ของทั้งคู่ให้แตกต่างกันมากเลย อย่างพี่ซันนี่จากตลกมาเป็นดราม่า แต่พี่อนันดาจากดราม่าแต่อันนี้ตลก มันเป็นความแตกต่างที่ทั้งคู่ทำให้มันลงตัวมาก ๆ เท่ากับเป็นการบอกคนดูได้เลยว่านักแสดงที่มีคุณภาพเล่นได้ทุกบทจริง ๆ คือคำนี้เรารูสึกว่าเออพอเห็นสองคนนี้เล่นแล้วมันจริงค่ะ และก็เชื่อได้เลยว่าแต่ละซีนที่เขาเล่นมาเขาใช้อินเนอร์ และเขาก็ถ่ายทอดอารมณ์ได้ทุกซีน
อย่างซีนที่ถ่ายที่ทิเบตมันไม่ใช่ถ่ายในสตูดิโอเมืองไทย เพราะฉะนั้นอุปสรรคในเรื่องของอากาศ เวลา สถานที่ที่มันเป็นการบีบมาก ๆ เลย ซึ่งนักแสดงก็ต้องมีสมาธิแล้วเข้าใจอินเนอร์ของซีนนั้นด้วย ซึ่งมันยากมาก ๆ พี่อนันดากับพี่ซันนี่ เข้าซีนกันต้องต่อสู้กับอากาศที่มันหนาวมาก ๆ ซึ่งมันต้องมีซีนที่ปะทะคารมกัน แล้วตรงนั้นลมแรงมากเป็นซีนที่บอกว่า เหมือนทั้งคู่ความสัมพันธ์กำลัง เอ๊ะมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันกลับทำให้ทั้งคู่เข้าใจกันได้ในซีน ๆ เดียวกัน คือนอกจากต้องบอกให้คนดูรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันที่สุดแล้ว มันมีเรื่องที่ต้องเล่าผ่านการแสดงของทั้งคู่ด้วย แล้วยิ่งพอมันต้องมาเจอความกดดันด้วยเวลาสถานที่ ถึงบอกได้ว่าพี่ ๆ เขาคือนักแสดงอาชีพที่มีคุณภาพจริง ๆ เมื่อได้เห็นการทำงานของเขา


อย่างโปรเจคท์ชัมบาลาเราได้ยินมาอยู่แล้ว เรารู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงตรงนั้น และรวมถึงรู้ว่าไปถ่ายที่ทิเบต มันรู้สึกว่ามันไม่มีแล้วค่ะ ภาพยนตร์ไทยที่จะไปตรงนั้นและมันไปยากมาก ๆ ซึ่งทางโน้นมันก็ไม่ง่ายที่จะเข้าไปถ่ายทำหนังอยู่แล้ว พอเราได้ไปเรารู้สึกว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกคนก็คิดว่าการฝ่าฟัน การแสดงที่ต่อสู้กับลมหนาว ซึ่งมันหนาวมาก ๆ รวมถึงอาหารความเป็นอยู่ มันแตกต่างจากประเทศไทยมาก ๆ แต่เราก็ได้ไปซึมซับวัฒนธรรมที่เขาเป็นอยู่ มันมีแต่ความสงบสุข มีแต่ความศรัทธาที่แบบรู้สึกได้จากตรงนั้น มันเลยเป็นโปรเจคท์ที่ยิ่งกว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่งค่ะ มันที่สุดแล้วของการไปทิเบต ก็อยากจะบอกว่าทั้งหมดในเรื่องมันอาจจะแบบว่าเป็นเวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้นสำหรับคนดู แต่การถ่ายทำตั้งแต่ทีมงานทุกคนที่เขาตั้งใจที่จะเริ่มโปรเจคท์ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันก็ยากแล้ว ตั้งแต่ถ่ายทำมาแต่ละซีน แต่ละวันที่เราต้องเดินทางในทิเบต แต่ละความหนาวที่เราอยู่ในทิเบตทั้งหมดมันไม่ง่ายค่ะสำหรับหนังเรื่องหนึ่งตรงนี้ เรารู้สึกว่าทุกคนตั้งใจและอยากให้มันออกมามาดีด้วย และพอทีมงานและนักแสดงเห็นมันคือความภูมิใจและก็ยิ้มกับมันทุกครั้งว่าบรรยากาศตรงนั้นมันคืออะไร

ก็สำหรับพี่ปี๊ดผู้กำกับ ฝนทราบมาว่าความฝันของเขาสิบปีที่ผ่านมาที่เขาอยากมีคือ หนังหนึ่งเรื่อง และเรื่องนี้ก็คือหนังเรื่องแรกของพี่ปี๊ดด้วย ตั้งแต่ร่วมงานกับเขามารู้สึกว่าเขาเป็นคนมีความฝัน แล้วการทำงานของพี่ปี๊ดมันเป็นความตั้งใจมาก ๆ เลย ไม่ว่าแต่ละซีน นักแสดงแต่ละคน การบรีฟของเขา โดยส่วนตัวพี่ปี๊ดเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว การทำงานทุกอย่างมันออกมาดีหมด ก็ถ้าถามว่าการทำงานเขาดุไหม ก็แอบมีซีเรียสนิดหนึ่ง อย่างไปทิเบตก็เครียด ในเรื่องของเวลา ในเรื่องความหนาว ก็เลยโอเคทำให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นมาได้ด้วยดี ก็แอบดีใจกับเขาด้วย มันเป็นหนังเรื่องแรกสำหรับเขา เราก็เป็นส่วนหนึ่งในหนังของเขาด้วย อย่างความตั้งใจของพี่ปี๊ดที่ฝนเห็นชัด ๆ เลย เรื่องของการถ่ายทำที่ทิเบตมากกว่า เพราะว่าบางทีเรารู้สึกว่ามันยากกับการเข้าไปถ่ายทำ ซึ่งเขาก็ยังคงมีความที่อยากจะไปถ่ายอยู่ ซึ่งจะหาหนทางทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเขาอยากได้ภาพตรงนี้ เขาก็จะพยายามหามุม หาสิ่งที่ทำให้รู้ว่าตรงนี้มันโอเคนะ เป็นความมุ่งมั่นมากกว่าและความตั้งใจตลอดสิบปีที่ผ่านมา ฝนรู้สึกว่าเออวันนี้มันเป็นหนังเรื่องแรกของเขา และเราทุกคนก็ภูมิใจกับสิ่งที่เขาทำและเป็นคนเริ่มมัน เราก็ดีใจด้วยที่เขากำกับภาพยนตร์เรื่องแรกเรื่องนี้


อย่างภาพยนตร์เรื่องชัมบาลานะคะ ก็อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้บอกถึงความแปลกใหม่ ซึ่งที่พิเศษที่สุดก็คือเราไปถ่ายที่ทิเบตกัน ความยาก สถานที่ รวมถึงความหนาวเย็นที่เราต่อสู้กันทั้งทีมงานและนักแสดงด้วย มันแค่สองชั่วโมงก็จริง แต่มันมีคุณค่ามากกว่าตรงนั้นด้วย รวมถึงผู้กำกับพี่ปี๊ดนะคะ เขาก็ตั้งใจที่จะมีหนังในรอบสิบปีของเขาที่เคยเป็นความฝันและเรามีส่วนที่จะเป็นตรงนั้นด้วย อย่างพี่อนันดาพี่ซันนี่เป็นนักแสดงคุณภาพอยู่แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้เขาก็ได้พลิกบทบาทที่แตกต่างกันสุดขั้วมาก ๆ พี่อนันดาที่ดราม่าก็กลับเป็นคาแรคเตอร์ที่ตลก ส่วนพี่ซันนี่ที่ตลกก็กลับเป็นดราม่า ซึ่งเขาทำมาได้อย่างลงตัวมาก ๆ ส่วนพี่โอซาในเรื่องก็ต้องปะทะอารมณ์กับพี่อนันดา ซึ่งคิดว่ามันเข้มข้นมาก ๆ แล้วค่ะ แล้วอินเนอร์ของเขามีเยอะมาก มันเป็นซีนที่สำคัญมาก ๆ
ก็อยากฝากภาพยนตร์เรื่องชัมบาลา และก็เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของฝนด้วย ซึ่งทุกคนตั้งใจทำงานมาก ๆ และก็ไม่ใช่แค่ว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องความศรัทธาในรัก แรงบันดาลใจ ทุกคนอาจจะเป็นเจนในเรื่อง รู้สึกว่าเป็นวุฒิ หรืออาจจะเป็นฝนในเรื่องที่เป็นน้ำหรืออาจจะเป็นพี่ทินก็ได้ คิดว่าเรื่องนี้น่าจะตรงใจกับใครหลาย ๆ คน สำหรับคนดูยังไงก็ฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ ภาพยนตร์ชัมบาลาค่ะ 23 สิงหาคมนี้ ก็อยากให้มาดูกัน เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้การันตีได้เลยว่ามันมีความแปลกใหม่ในเรื่องสถานที่ด้วย เพราะว่าเรายกกองไปถ่ายที่ทิเบตกันเลยทีเดียว บรรยากาศที่นั่นสวยมาก ๆ เลย คิดว่าทุกคนดูแล้วน่าจะอิ่มในเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ของพี่น้องด้วยค่ะ ฝากด้วยค่ะ