หากพูดถึงเรื่องผี ๆ ใคร ๆ ก็มักจะนึกถึงผีสุดเฮี้ยนที่น่าสะพรึงกลัวตามหลอกหลอนรังควาน นึกไล่เรียงดูผีที่คนนึกถึงเป็นอันดับ แรก ๆ ก็คงจะประมาณแวมไพร์ ซอมบี้ เฟรดดี้ เจสัน เดอะริง หรือจูออน แต่น้อยคนนักที่จะนึกถึง "ตุ๊กตาผีสิง" คงเพราะเห็นมันเป็นของเล่นเด็กที่น่าจะดูใส ๆ ไม่มีพิษภัย แต่ที่ไหนได้ ตุ๊กตาผีสิงนี่ล่ะที่สร้างความเฮี้ยนมานักต่อนักแล้ว ไม่เชื่อลองมาดูตำนานความเฮี้ยนของ 10 ตุ๊กตาผีที่มีอยู่จริง ว่าจะชวนหลอนให้จิตสั่นกันขนาดไหน ขอบอกให้ว่าบางตัวยังถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยนะ
ชื่อตุ๊กตาผีตัวนี้อาจไม่เป็นที่คุ้นหูเท่าไร แต่มันเป็นตำนานที่เกิดขึ้นจริงของครอบครัวออตโต จากเกาะคีย์เวสต์ รัฐฟลอริดา เมื่อพี่เลี้ยงของเด็กชายโรเบิร์ต ยูจีน ออตโต หรือ จีน ได้มอบตุ๊กตาสูงสามฟุตตัวนี้ให้กับเขาในปี 1906 ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเด็กชายถูกชะตากับตุ๊กตาดังกล่าวมากเพียงใด เพราะเขาได้ตั้งชื่อมันว่า "โรเบิร์ต" เหมือนกับชื่อตัวเองเปี๊ยบ แต่กระนั้นหลาย ๆ ปากก็บอกว่าพี่เลี้ยงคนนี้ตั้งใจมอบตุ๊กตาพร้อมคำสาปตัวดังกล่าวให้กับเด็กชาย เพื่อแก้แค้นที่ครอบครัวนี้ใช้งานเธออย่างทารุณต่างหาก
จีนขลุกเล่นอยู่กับโรเบิร์ตตลอดเวลา แต่งตัวมันด้วยเสื้อผ้าตัวเดียวกับที่ตัวเองใส่ แต่แล้วก็มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่เด็กชายเริ่มพูดคุยกับตุ๊กตา และมีเสียงตอบกลับการพูดคุยด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยซึ่งไม่ใช่เสียงของเขาโดยสิ้นเชิง ข้าวของในบ้านเริ่มหายไปจากที่ที่มันอยู่ หรือบ้างก็แตกหักเสียหาย กลางดึกบางคืนนายและนางออตโตตื่นขึ้นเพราะเสียงกรีดร้องของลูกชาย เมื่อรีบเข้าไปที่ห้องก็พบว่าข้าวของในห้องล้มกระจาย เด็กชายยูจีนยังอยู่บนเตียงด้วยท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด และบอกพ่อกับแม่เขาว่า "โรเบิร์ตเป็นคนทำ"
เพื่อนบ้านละแวกเดียวกันยังบอกว่า ยามเขาเดินผ่านบ้านขณะที่ครอบครัวออตโตไม่อยู่ และมองไปบนหน้าต่างบ้าน พวกเขาเห็นตุ๊กตาตัวนี้เคลื่อนไหวจากหน้าต่างบานหนึ่งสู่อีกบานหนึ่งได้เอง แขกที่มาเยี่ยมบ้านก็สาบานว่าเขาเห็นมันพยักหน้าและกะพริบตาได้จริง ๆ
อย่างไรก็ดี หลังยูจีนเสียชีวิตลงในปี 1974 บ้านหลังนี้พร้อม ๆ กับตุ๊กตาโรเบิร์ตที่ถูกเก็บไว้บนห้องใต้หลังคา ก็ตกเป็นของผู้ซื้อรายถัดมา และตุ๊กตาตัวดังกล่าวก็ตกเป็นของลูกสาววัย 10 ขวบของเจ้าของบ้าน ที่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เจอเหตุการณ์เดียวกับที่ครอบครัวออตโตเจอ สาวน้อยกรีดร้องขึ้นมากลางดึก ข้าวของกระจัดกระจาย และเธอบอกว่าโรเบิร์ตพยายามจะฆ่าเธอ
ปัจจุบันนี้โรเบิร์ตนั่งอยู่ในตู้แก้วที่พิพิธภัณฑ์ฟอร์ท อีสต์ มาร์เทลโล ที่คีย์เวสต์ คอยเฝ้ามองผู้ที่มาเข้าเยี่ยมชม แม้จะถูกเก็บเอาไว้ในตู้กระจก แต่มันก็ยังคงแสดงความเฮี้ยนให้เห็น หากมันพึงใจที่จะถูกถ่ายภาพ ตุ๊กตาโรเบิร์ตจะตอบรับด้วยการเอียงคอไปด้านข้าง แต่หากว่ามันไม่เต็มใจจะถูกถ่ายภาพละก็ คุณจะได้รับคำสาปกลับไปเป็นของฝากแน่นอน
นอกจากนี้ โรเบิร์ต ยังเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์ตุ๊กตาผี ชัคกี้ ที่โด่งดังอีกด้วย (อ้างอิงข้อมูลจาก wikipedia
2. แอนนาเบล ตุ๊กตาปีศาจ สู่ภาพยนตร์ The Conjuring
จากภาพยนตร์หลอนประสาทอย่าง The Conjuring ตุ๊กตาแอนนาเบลได้เข้าไปมีส่วนในการสร้างความเขย่าขวัญเป็นอย่างมาก และมันมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงปี 1970\'s เมื่อคุณแม่ท่านหนึ่งได้ซื้อตุ๊กตาเย็บจากผ้าเป็นของขวัญวันเกิดให้กับ ดอนน่า ลูกสาวนักศึกษาวิชาพยาบาลของเธอ
ดอนน่าวางตุ๊กตาตัวนี้ไว้บนเตียง แต่แล้วเธอกับรูมเมตก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรแปลก ๆ เมื่อพบว่า แอนนาเบล มักเปลี่ยนท่าทางไปจากเดิมที่เคยเห็นทุกครั้ง จากท่านั่งเหยียดขาก็กลับกลายเป็นนั่งไขว่ห้างมือกอดอก เมื่อหนักข้อขึ้นก็ถึงกับเปลี่ยนที่อยู่ไปเสียเฉย ๆ เมื่อเธอพบว่ามันไปนอนอยู่บนเตียง ทั้ง ๆ ที่ก่อนออกไปเรียนเธอวางมันไว้นอกห้องนอน และปิดประตูเรียบร้อยดีแล้วด้วย
ดอนน่าและเพื่อนร่วมห้องตัดสินใจหาคำตอบไขความสงสัย ด้วยการใช้คนทรงช่วยสืบหาความเป็นมาของตุ๊กตา จึงได้คำตอบว่ามันถูกเข้าสิงโดยวิญญาณของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ตายลงในพื้นที่นี้ก่อนที่อพาร์ตเมนต์จะถูกสร้างขึ้น และวิญญาณของเธอก็อยากจะอยู่กับพวกดอนน่าด้วย เมื่อได้ฟังเช่นนี้ดอนน่าก็รู้สึกผูกพันกับตุ๊กตา และยังคงเก็บครอบครองมันไว้ แต่เหตุการณ์แปลก ๆ ก็ยังคงไม่หายไป นอกจากท่าทางและการเปลี่ยนห้องที่อยู่ของตุ๊กตาโดยพลการแล้ว วันหนึ่งเพื่อนที่มาพักกับเธอก็ถูกจู่โจมโดยอะไรบางอย่าง จนเกิดรอยแผลเลือดซิบที่หน้าอก และยังพบว่ามีรอยคล้ายนิ้วมือเล็ก ๆ อีก 7 นิ้วปรากฏอยู่ด้วย
คราวนี้ดอนน่าจึงไปขอความช่วยเหลือจากสองสามีภรรยา เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน ผู้เชี่ยวชาญในการสืบเสาะเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ และก็ได้คำตอบเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ที่แตกต่างไปจากเดิม มันไม่ได้ถูกสิงด้วยวิญญาณเด็กผู้หญิง แต่เป็นปีศาจต่างหากที่พยายามอาศัยร่างของตุ๊กตาเพื่อให้ได้ใกล้ชิดและเข้าครอบครองร่างของคนในที่สุด เอ็ดและลอเรนได้แนะนำให้ดอนน่าล้างความชั่วร้ายออกไปจากอพาร์ตเมนต์นี้ จึงได้เชิญหลวงพ่อมาทำพิธี และตุ๊กตาแอนนาเบลนั้น ดอนน่าก็ได้มอบปนขอร้องให้คนทั้งคู่ช่วยรับไปดูแลแทน แม้อพาร์ตเมนต์จะถูกล้างความเฮี้ยนไปแล้ว แต่แอนนาเบลก็ไม่วายแผลงฤทธิ์ให้คู่สามีภรรยาวอร์เรนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เมื่อขากลับรถเริ่มเสียการทรงตัวเมื่อเข้าโค้งทุกหัวถนน จนต้องนำแอนนาเบลที่วางไว้ตรงเบาะหลังมายัดใส่ถุง แล้วรดน้ำมนต์เป็นสัญลักษณ์รูปไม้กางเขน จึงไปถึงบ้านได้โดยสวัสดิภาพ
ปัจจุบันนี้ แอนนาเบล ถูกกักเอาไว้ในตู้กระจกที่สร้างขึ้นพิเศษ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ออคคัลท์ รัฐคอนเนตทิคัต แหล่งรวมของแปลก เฮี้ยน หลอน ของนายและนางวอร์เรน อย่างน้อยก็ช่วยกันให้เธอไม่ออกมาเคลื่อนไหวเพ่นพ่านเองข้างนอกได้ แต่ความเฮี้ยนของเธอก็ยังคงอยู่ เมื่อมีผู้มาเที่ยวชมชายหญิงคู่หนึ่งพูดจาลบหลู่ แต่แล้วหลังจากกลับออกไปจากพิพิธภัณฑ์ได้ไม่กี่ชั่วโมง คนหนึ่งก็รถมอเตอร์ไซค์คว่ำเสียชีวิต ส่วนอีกคนที่ซ้อนมาก็เจ็บหนักต้องรักษาตัวอยู่นาน และจนปัจจุบันนี้ก็ยังมีรายงานว่า แอนนาเบลยังออกมาสร้างความสยองขวัญให้กับผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์อยู่เนือง ๆ
3. แมนดี้ ตุ๊กตาเด็กหน้าร้าว
แมนดี้ ถูกมอบให้กับพิพิธภัณฑ์เควสเนล ในบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ตั้งแต่ปี 1991 โดย เมเรียนดา ผู้เป็นเจ้าของคนเก่า สภาพเดิมของมันมีเสื้อผ้าขาดวิ่นเก่าสกปรก ตามตัวมีรอยหักชำรุด โดยเฉพาะส่วนใบหน้าที่แตกร่อนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ตอนนั้นมันมีอายุราว 90 ปีแล้ว และนั่นอาจทำให้มันดูไม่ต่างจากตุ๊กตาโบราณเก่าคร่ำครึทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ แมนดี้ แตกต่างออกไปก็คือ เธอดูคล้ายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประหลาด ๆ อยู่เสมอ
เมเรียนดาบอกว่าเธอมักได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ตอนกลางดึกจากชั้นใต้ดินอยู่บ่อยครั้ง เมื่อลงไปสำรวจก็พบว่าหน้าต่างระบายอากาศบานที่อยู่ติดกับตุ๊กตาตัวนี้เปิดอ้าออก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอจำได้แม่นยำว่ามันปิดสนิทเรียบร้อยดี แต่หลังจากที่มอบมันให้กับพิพิธภัณฑ์แล้ว เหตุการณ์นี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
ทว่าความแปลกประหลาดกลับมาเกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์แทน เมื่ออาหารบางส่วนหายไปจากตู้เย็น แล้วก็ไปพบว่ามันถูกซุกอยู่ในลิ้นชักอย่างผิดวิสัย ข้าวของเคลื่อนย้ายหายไปจากที่เดิม บางชิ้นก็หาเจอ บางชิ้นดูคล้ายจะหายสาบสูญไปตลอดกาล ส่วนตุ๊กตาแมนดี้ที่เคยถูกวางอยู่ทางเดินด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ที่ซึ่งปะทะกับทุก ๆ สายตาของผู้มาเยี่ยมชม ก็ถูกย้ายเข้ามาในห้องแถมเก็บแยกไว้ต่างหากจากตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ด้วยเหตุผลว่า "ไม่อยากให้มันทำอันตรายตุ๊กตาตัวอื่น ๆ"
แม้ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่จะเริ่มคุ้นชินกับความรู้สึกหรือเหตุการณ์ประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องกับแมนดี้แล้ว แต่หากเป็นไปได้ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนอยากจะออกจากที่ทำงานเป็นคนสุดท้าย และกลายเป็นผู้ต้องปิดพิพิธภัณฑ์คนเดียวอยู่นั่นเอง
มนตร์ดำ ตุ๊กตาวูดู คำสาปที่ตามหลอกหลอน อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล่น ๆ หากว่ายังไม่ได้ฟังเรื่องตุ๊กตาวูดูที่หญิงรายหนึ่งจากเมืองกาลเวสตัน รัฐเทกซัส ซื้อมันมาจากแหล่งซอมบี้วูดูอย่างรัฐนิวออร์ลีน
ผ่านทางเว็บไซต์อีเบย์ เมื่อปี 2004
ตุ๊กตาวูดูถูกส่งมาอย่างเรียบร้อยอยู่ภายในกล่องโลหะสีเงิน ลักษณะคล้ายโลงศพเล็ก ๆ ถ้าเพียงแต่เธอไม่เปิดโลงและหยิบมันออกมาละก็ เรื่องราวหลอกหลอนเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น จากความตั้งใจที่จะลองของเก็บประสบการณ์มาเขียนหนังสือเกี่ยวกับการซื้อ-ขายผีทางอีเบย์ หญิงรายนี้กลับต้องหัวปั่นแทบเสียสติเมื่อเธอบอกว่าวูดูตัวดังกล่าวตามหลอกหลอน ไม่ว่ายามตื่นหรือยามหลับฝัน
เธอพยายามนำมันไปเผา แต่มันก็ไม่ไหม้ไฟ จะทิ่มแทงทำลายด้วยกรรไกรหรือมีดก็ไม่เป็นผล จึงได้ตัดสินใจนำไปฝังไว้ที่สุสาน เพียงเพื่อจะพบว่าตุ๊กตาวูดูตัวนั้นกลับมานอนอยู่หน้าประตูบ้านในสภาพเลอะเปรอะดิน
เธอนำมันออกขายทางอีเบย์อีกครั้ง แต่ผู้ที่ซื้อมันไปบอกว่าจู่ ๆ ตุ๊กตาก็หายไป ซึ่งไปปรากฏอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออีกครั้ง หรือแม้กระทั่งผู้ซื้อรายที่สามบอกว่าพัสดุสินค้าที่เธอได้รับนั้นเป็นกล่องเปล่า และนั่นมันก็ถูกพบอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออีกแล้วนั่นเอง
ผู้ที่ประกาศขายเดิมที่โฆษณาขายมันทางอีเบย์นั้น บอกว่าผู้ที่ซื้อไปจะต้องทำตามกฎในการครอบครองตุ๊กตามนตร์ดำนี้อย่างเคร่งครัด คือเก็บมันไว้ให้พ้นจากสายตาใคร ๆ และต้องไม่นำตุ๊กตาออกมาจากกล่องเด็ดขาด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอทำพลาดไปแล้วจริง ๆ
ไม่ว่าจะหาทางกำจัดตุ๊กตาวูดูตัวนี้ออกไปจากชีวิตอย่างไร เธอก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเสียที สุดท้ายหญิงรายนี้ได้แต่นำมันไว้ในกล่องตามเดิม แล้วเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคา หวังเพียงแต่เมื่อเธอขายบ้านนี้ทิ้งไป หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น หากว่าเธอยังพอมีโชคอยู่บ้าง เธอคงจะหลุดพ้นจากการตามหลอกหลอนของตุ๊กตาวูดูตัวนี้ได้เสียที
เรื่องของ ฮาโรลด์ ไม่ใช่ตำนานเก่าแก่ แต่มันเป็นที่รู้จักโด่งดังในฐานะตุ๊กตาผีสิงตัวแรกที่ถูกขายทางอีเบย์ ซึ่งถูกขายโดยชายที่ชื่อ เกร็ก ในปี 2003
เชื่อกันว่าฮาโรลด์ถูกสร้างขึ้นมาราวปี 1930\'s มันเคยถูกใช้ในการถ่ายหนังสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีคนเห็นว่ามันค่อย ๆ ขยับตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครไปสัมผัส จากนั้นฮาโรลด์ก็ถูกเปลี่ยนมือมาเรื่อย ๆ ทุกคนที่ครอบครองมันล้วนรายงานถึงเสียงประหลาด ๆ ที่ได้ยิน ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองทั้ง ๆ ที่ในห้องไม่มีใครนอกจากฮาโรลด์ ตุ๊กตาที่เหมือนจะขยับเปลี่ยนท่าทางได้เอง การแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงรายงานความเจ็บป่วยที่ประดังเข้ามาเมื่อได้เป็นเจ้าของฮาโรลด์ เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ข้องเกี่ยวกับฮาโรลด์กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างในโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะตามเว็บบอร์ดเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ
อย่างไรก็ดี เจ้าของรายล่าสุดของฮาโรลด์ แอนโธนี ควินาตา ผู้ซื้อมันมาจากอีเบย์ในปี 2004 ยังคงครอบครองมันมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าฮาโรลด์มีอาถรรพ์อย่างที่ใคร ๆ ร่ำลือเอาไว้จริงหรือไม่ แม้จนถึงวันนี้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ก็มีรายงานจาก ทีมนักพิสูจน์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ที่แอนโธนีได้เชิญไปพิสูจน์เกี่ยวกับฮาโรลด์ว่า ผู้นำทีมพิสูจน์จู่ ๆ ก็เกิดป่วยขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวไมเกรนอย่างหนัก ปวดครั่นเนื้อตัวและหลังช่วงล่าง จนในที่สุดก็ต้องระงับการดำเนินการพิสูจน์เรื่องตุ๊กตาผีฮาโรลด์ไป และแอนโธนีก็เริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรแปลก ๆ บางอย่างเกี่ยวกับตุ๊กตาที่เขาเป็นเจ้าของ เมื่อเขาเขียนเล่าในบล็อกของตัวเองว่า รู้สึกเหมือนเห็นฮาโรลด์ขยับตัวได้ และได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเด็กทารก ... ว่าแต่เสียงประหลาดเหล่านั้นมาจากตุ๊กตาเก่า ๆ ตัวนี้จริงหรือไม่ ฮาโรลด์เป็นตุ๊กตาผีสิงจริงหรือ และมันจะถูกขายทอดต่อไปในอีเบย์อีกไหม ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ และติดตามกันต่อไป
6. ปูป้า ตุ๊กตาที่มีเส้นผมของคนจริง ๆ
สำหรับนักทำตุ๊กตาแล้ว การสร้างตุ๊กตาให้ออกมาละม้ายคล้ายคนจริง ๆ นับเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับ "ปูป้า" ตุ๊กตาเด็กผู้หญิงที่ทำจากผ้าสักหลาด มันมีผมสีบลอนด์เข้ม ซึ่งเป็นผมของคนจริง ๆ ที่ช่างทำตุ๊กตาซื้อต่อมาสำหรับการนี้โดยเฉพาะ หากแต่ผมที่ทำมาจากเส้นผมจริง ๆ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของตำนานตุ๊กตาผีสิงตัวนี้เท่านั้นเอง..
เจ้าของเดิมของ ปูป้า เป็นเด็กหญิงชาวอิตาเลียน อายุราว 5-6 ขวบ เธอได้ครอบครองมันเมื่อราวปี 1920\'s และผูกพันอยู่กับมันยาวนานจนกระทั่งเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือนกรกฎาคม 2005 เด็กหญิงผู้อายุยืนยาวจวบจนแก่ชรายังเล่าให้หลาน ๆ ของตัวเองฟังว่า ปูป้า เป็นเพื่อนที่ดีของเธอในทุกสถานการณ์ เป็นทั้งเพื่อนเล่น เพื่อนแท้ และเคยแม้แต่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ มันเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตจริง ๆ !!
ตุ๊กตาวูดูถูกส่งมาอย่างเรียบร้อยอยู่ภายในกล่องโลหะสีเงิน ลักษณะคล้ายโลงศพเล็ก ๆ ถ้าเพียงแต่เธอไม่เปิดโลงและหยิบมันออกมาละก็ เรื่องราวหลอกหลอนเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น จากความตั้งใจที่จะลองของเก็บประสบการณ์มาเขียนหนังสือเกี่ยวกับการซื้อ-ขายผีทางอีเบย์ หญิงรายนี้กลับต้องหัวปั่นแทบเสียสติเมื่อเธอบอกว่าวูดูตัวดังกล่าวตามหลอกหลอน ไม่ว่ายามตื่นหรือยามหลับฝัน
เธอพยายามนำมันไปเผา แต่มันก็ไม่ไหม้ไฟ จะทิ่มแทงทำลายด้วยกรรไกรหรือมีดก็ไม่เป็นผล จึงได้ตัดสินใจนำไปฝังไว้ที่สุสาน เพียงเพื่อจะพบว่าตุ๊กตาวูดูตัวนั้นกลับมานอนอยู่หน้าประตูบ้านในสภาพเลอะเปรอะดิน
เธอนำมันออกขายทางอีเบย์อีกครั้ง แต่ผู้ที่ซื้อมันไปบอกว่าจู่ ๆ ตุ๊กตาก็หายไป ซึ่งไปปรากฏอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออีกครั้ง หรือแม้กระทั่งผู้ซื้อรายที่สามบอกว่าพัสดุสินค้าที่เธอได้รับนั้นเป็นกล่องเปล่า และนั่นมันก็ถูกพบอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธออีกแล้วนั่นเอง
ผู้ที่ประกาศขายเดิมที่โฆษณาขายมันทางอีเบย์นั้น บอกว่าผู้ที่ซื้อไปจะต้องทำตามกฎในการครอบครองตุ๊กตามนตร์ดำนี้อย่างเคร่งครัด คือเก็บมันไว้ให้พ้นจากสายตาใคร ๆ และต้องไม่นำตุ๊กตาออกมาจากกล่องเด็ดขาด ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอทำพลาดไปแล้วจริง ๆ
ไม่ว่าจะหาทางกำจัดตุ๊กตาวูดูตัวนี้ออกไปจากชีวิตอย่างไร เธอก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเสียที สุดท้ายหญิงรายนี้ได้แต่นำมันไว้ในกล่องตามเดิม แล้วเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคา หวังเพียงแต่เมื่อเธอขายบ้านนี้ทิ้งไป หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น หากว่าเธอยังพอมีโชคอยู่บ้าง เธอคงจะหลุดพ้นจากการตามหลอกหลอนของตุ๊กตาวูดูตัวนี้ได้เสียที
5. ฮาโรลด์ ตุ๊กตาผีสิงตัวแรกที่ถูกขายในอีเบย์
เรื่องของ ฮาโรลด์ ไม่ใช่ตำนานเก่าแก่ แต่มันเป็นที่รู้จักโด่งดังในฐานะตุ๊กตาผีสิงตัวแรกที่ถูกขายทางอีเบย์ ซึ่งถูกขายโดยชายที่ชื่อ เกร็ก ในปี 2003
เชื่อกันว่าฮาโรลด์ถูกสร้างขึ้นมาราวปี 1930\'s มันเคยถูกใช้ในการถ่ายหนังสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีคนเห็นว่ามันค่อย ๆ ขยับตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครไปสัมผัส จากนั้นฮาโรลด์ก็ถูกเปลี่ยนมือมาเรื่อย ๆ ทุกคนที่ครอบครองมันล้วนรายงานถึงเสียงประหลาด ๆ ที่ได้ยิน ความรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองทั้ง ๆ ที่ในห้องไม่มีใครนอกจากฮาโรลด์ ตุ๊กตาที่เหมือนจะขยับเปลี่ยนท่าทางได้เอง การแสดงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงรายงานความเจ็บป่วยที่ประดังเข้ามาเมื่อได้เป็นเจ้าของฮาโรลด์ เรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ข้องเกี่ยวกับฮาโรลด์กลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้างในโลกอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะตามเว็บบอร์ดเกี่ยวกับเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ
อย่างไรก็ดี เจ้าของรายล่าสุดของฮาโรลด์ แอนโธนี ควินาตา ผู้ซื้อมันมาจากอีเบย์ในปี 2004 ยังคงครอบครองมันมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความพยายามที่จะพิสูจน์ว่าฮาโรลด์มีอาถรรพ์อย่างที่ใคร ๆ ร่ำลือเอาไว้จริงหรือไม่ แม้จนถึงวันนี้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่ก็มีรายงานจาก ทีมนักพิสูจน์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ที่แอนโธนีได้เชิญไปพิสูจน์เกี่ยวกับฮาโรลด์ว่า ผู้นำทีมพิสูจน์จู่ ๆ ก็เกิดป่วยขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวไมเกรนอย่างหนัก ปวดครั่นเนื้อตัวและหลังช่วงล่าง จนในที่สุดก็ต้องระงับการดำเนินการพิสูจน์เรื่องตุ๊กตาผีฮาโรลด์ไป และแอนโธนีก็เริ่มสัมผัสได้ถึงอะไรแปลก ๆ บางอย่างเกี่ยวกับตุ๊กตาที่เขาเป็นเจ้าของ เมื่อเขาเขียนเล่าในบล็อกของตัวเองว่า รู้สึกเหมือนเห็นฮาโรลด์ขยับตัวได้ และได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของเด็กทารก ... ว่าแต่เสียงประหลาดเหล่านั้นมาจากตุ๊กตาเก่า ๆ ตัวนี้จริงหรือไม่ ฮาโรลด์เป็นตุ๊กตาผีสิงจริงหรือ และมันจะถูกขายทอดต่อไปในอีเบย์อีกไหม ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ และติดตามกันต่อไป
6. ปูป้า ตุ๊กตาที่มีเส้นผมของคนจริง ๆ
เจ้าของเดิมของ ปูป้า เป็นเด็กหญิงชาวอิตาเลียน อายุราว 5-6 ขวบ เธอได้ครอบครองมันเมื่อราวปี 1920\'s และผูกพันอยู่กับมันยาวนานจนกระทั่งเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือนกรกฎาคม 2005 เด็กหญิงผู้อายุยืนยาวจวบจนแก่ชรายังเล่าให้หลาน ๆ ของตัวเองฟังว่า ปูป้า เป็นเพื่อนที่ดีของเธอในทุกสถานการณ์ เป็นทั้งเพื่อนเล่น เพื่อนแท้ และเคยแม้แต่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ มันเป็นตุ๊กตาที่มีชีวิตจริง ๆ !!
อย่างไรก็ดี หลังจากเจ้าของคนเดิมล่วงลับแล้ว ปูป้าถูกเก็บไว้ในกล่องกระจกใส แล้วคนที่เหลือในครอบครัวก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น หลังจากมันสูญเสียเจ้าของไปแล้วมันดูจะค่อย ๆ มีชีวิต และเหมือนอยากจะหลุดพ้นออกมาจากที่ที่มันถูกเก็บเอาไว้ หลายครั้งที่คนในบ้านรู้สึกได้ยินเสียงเคาะกระจกเบา ๆ เมื่อเดินผ่านตู้กล่องกระจกของปูป้า สังเกตเห็นสีหน้าของมันที่ดูเปลี่ยนแปลงไป หรือแม้กระทั่งท่าทางของมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง ทั้ง ๆ ที่มันถูกเก็บเอาไว้ในกล่องโชว์ไม่มีใครไปจับเลยแท้ ๆ ..และแม้กระทั่งบัดนี้ก็ยังคงสังเกตเห็นสีหน้า และท่าทางของปูป้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้อยู่เรื่อย ๆ
7. ตุ๊กตาอลิซ ผู้หลอกหลอน
อลิซ เป็นตุ๊กตาพอร์ซเลนตัวสวยของมารี ฟอร์ด ผู้อาศัยอยู่ในรัฐวอชิงตัน
อเมริกา หลานของเจ้าของเดิมบอกว่า
มันเป็นตุ๊กตาที่มีวิญญาณเพื่อนสนิทของคุณย่าสิงอยู่
และนั่นเป็นที่มาของชื่อ อลิซ มันถูกเก็บอยู่ในกล่องเก็บตุ๊กตา
ล็อกกุญแจไว้อย่างดี
โดยไม่อาจทราบได้ว่าเหตุผลใดจึงต้องนำตุ๊กตาตัวนี้ไปเก็บไว้มิดชิดเช่นนั้น
เมื่อนำมันออกมาตั้งโชว์อีกครั้ง ความหลอนก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกว่าถูกอลิซมองตามอยู่ตลอดเวลา และหากมันไม่ชอบใจใครขึ้นมาละก็ สีหน้าของตุ๊กตาตัวนี้จะเปลี่ยนไปได้ แต่ที่สยองที่สุดคือเมื่อลองนำหูไปแนบไว้ใกล้ ๆ ริมฝีปากของมัน จะได้ยินเสียงกระซิบที่เย็นยะเยือกตอบกลับมา และประโยคที่เลวร้ายและหลอนจับใจจากอลิซนั้นกล่าวว่า "ฉันอยากอยู่โดดเดี่ยวและทรมานอย่างนี้ต่อไป"
8. เอมิเลีย ตุ๊กตาพูดได้
เมื่อนำมันออกมาตั้งโชว์อีกครั้ง ความหลอนก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อถูกจู่โจมด้วยความรู้สึกว่าถูกอลิซมองตามอยู่ตลอดเวลา และหากมันไม่ชอบใจใครขึ้นมาละก็ สีหน้าของตุ๊กตาตัวนี้จะเปลี่ยนไปได้ แต่ที่สยองที่สุดคือเมื่อลองนำหูไปแนบไว้ใกล้ ๆ ริมฝีปากของมัน จะได้ยินเสียงกระซิบที่เย็นยะเยือกตอบกลับมา และประโยคที่เลวร้ายและหลอนจับใจจากอลิซนั้นกล่าวว่า "ฉันอยากอยู่โดดเดี่ยวและทรมานอย่างนี้ต่อไป"
8. เอมิเลีย ตุ๊กตาพูดได้
เอมิเลีย มีอายุกว่าร้อยปี มันเป็นตุ๊กตาที่กษัตริย์อัมเบอร์โต แห่งอิตาลี
(1878-1900) ได้มอบให้กับอัลวาโด เบลลินา นายทหารผู้ซื่อสัตย์
และเป็นสหายที่ดีที่สุดของพระองค์ แต่สุดท้ายทั้งสองคนก็จบชีวิตลงด้วยการสังหารเพื่อล้มบัลลังก์
ตุ๊กตาตัวนี้จึงตกเป็นของมารี ลูกสาวของอัลวาโด
ซึ่งเธอได้ตั้งชื่อให้มันว่า เอมิเลีย
มารีรักและผูกพันกับเอมิเลียมาก แต่ก็ต้องระหกระเหินหนีภัยสงคราม ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ตุ๊กตาตัวดังกล่าวสูญเสียแขนทั้งสองข้าง หนังศีรษะ และเส้นผมบางส่วนหายไปจากแรงระเบิดที่ทิ้งลงมายังขบวนรถไฟที่กำลังแล่นหนีจุดที่โดนโจมตี แต่อย่างไรก็ดีมันยังเป็นเพื่อนรักของมารีเสมอ เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยหากได้อยู่กับตุ๊กตาสุดที่รัก
ผู้ร่วมหลุมหลบภัยช่วงหนีสงครามกับมารีเล่าว่า เขาเห็นตุ๊กตาเอมิเลียส่งยิ้มมาให้ขณะที่มันอยู่บนตักของเธอ ส่วนมารีก็บอกว่า เมื่อตอนที่มันยังมีแขนอยู่ เอมิเลียกะพริบตาให้เธอ และมือของมันก็ขยับเองได้ด้วย หนำซ้ำมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอได้ยินเอมิเลียพูดออกมาว่า "มันไม่ดีเลยนะ" บางทีเธออาจจะฟังผิด อาจจะเป็นเสียงอย่างอื่นที่มาจากเอมิเลียก็ได้ เพราะเอมิเลียมีกล่องที่ทำให้ส่งเสียงได้ติดอยู่ แต่มันก็พังไปนานตั้งแต่ตอนหลบลูกระเบิดแล้ว.. แต่อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกยินดีที่เอมิเลียพูดด้วย แม้หลายครั้งเธอจะฟังไม่ออกว่ามันพูดว่าอะไร มารีรู้สึกผูกพันกับตุ๊กตาตัวนี้มาก ถึงขนาดตั้งชื่อลูกสาวของตัวเองว่า "เอมิเลีย" ตามตุ๊กตา
ปัจจุบันมารีเสียชีวิตลงแล้ว และเอมิเลียตกอยู่ภายใต้การดูแลของลูกสาวเธอ ซึ่งเธอกล่าวว่ายังคงได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากเอมิเลีย ราวกับว่ามันกำลังคิดถึงเจ้าของเดิมของตัวเอง
9. เมอร์ซี่ ตุ๊กตาผีสิง
เมอร์ซี่เป็นตุ๊กตาอีกหนึ่งตัวที่ถูกขายและซื้อต่อกันทางอินเทอร์เน็ต เชอร์รี คุนน์ เจ้าของคนล่าสุดของมัน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเห็นมันแสดงความเฮี้ยนมากเท่าใดนัก แค่สุ่มซื้อมาเพื่อหวังลองของพิสูจน์ว่ามีผีสิงจริง ๆ หรือเปล่าเท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ดี การท้าพิสูจน์ของเธอทำให้ได้รู้ว่าเธอมองไม่พลาดจริง ๆ ที่คิดว่าตุ๊กตาตัวนี้อาจมีวิญญาณชั่วร้ายอะไรบางอย่างสิงอยู่ เมื่อแรกได้มันมาเธอเริ่มพิสูจน์ด้วยการถ่ายรูปมันด้วยกล้องจับพลังงาน และเมื่อล้างฟิล์มก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า เธอเห็นวงพลังงานเป็นแสงบางอย่างออกมาจากตัวของเมอร์ซี่ หลังจากคืนนั้นวิทยุที่อยู่ในห้องที่เธอถ่ายรูปก็เกิดจูนหมุนเปลี่ยนสถานีได้เอง สองวันหลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาเพราะว่าเมอร์ซี่ร่วงลงจากชั้นที่วางมันไว้ แต่ก็ต้องสะดุ้งปนขนลุกเมื่อได้พบว่า แทนที่มันจะนอนล้มอยู่ที่พื้นตามวิสัยสิ่งของไร้ชีวิตทั่วไป เมอร์ซี่กลับหล่นลงมาในท่ายืนสองขาอยู่บนพื้นด้วยตัวเอง หลังจากนั้นมาเธอจึงเชื่ออย่างแรงกล้าว่าจะต้องมีพลังลึกลับอะไรบางอย่างแฝงอยู่กับตุ๊กตาตัวนี้แน่ ๆ และเก็บมันแยกออกไว้ต่างหาก เพราะเธอรู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่มีมันอยู่ใกล้ ๆ
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นตุ๊กตาผีสิง แต่ คริสติน่า น่าจะเป็นตุ๊กตาผีสิงที่รักสงบที่สุดในบรรดาตุ๊กตาทุก ๆ ตัวที่กล่าวมา Shana St. German นักพิสูจน์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ได้ซื้อมันมาจากเจ้าของเดิมในอีเบย์ ผู้ซึ่งเขียนจดหมายมาขอบคุณเธออย่างมากมายที่ช่วยให้คริสติน่าได้บ้านหลังใหม่ พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาของคริสติน่าให้ฟังว่า..
เธอพบมันที่ร้านขายของเก่า Red Barn ในเมืองเจฟเฟอสัน รัฐเทกซัส ตอนแรกนั้นเธอแค่รู้สึกสะดุดตากับตุ๊กตาพอร์ซเลนผมยุ่ง ๆ ตัวนี้ แต่แล้วก็ได้ซื้อมันกลับมาในที่สุด หลังจากเจ้าของร้านยืนยันว่าตุ๊กตาตัวดังกล่าวบอกกับเขาว่าอยากจะไปอยู่กับเธอจริง ๆ โดยทราบประวัติคร่าว ๆ ว่ามันเป็นตุ๊กตาเก่าที่น่าจะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ไม่ทราบเลยว่าก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่ร้านขายของเก่ามันเคยถูกครอบครองโดยใครมาบ้าง อย่างไรก็ดี เธอได้มอบมันให้กับจัสมิน ลูกสาววัย 6 ขวบของเธอ และเด็กหญิงตั้งชื่อให้มันว่า "คริสติน่า"
จัสมินชอบตุ๊กตาตัวใหม่ของเธอมาก เธอเล่น กิน นอน แม้กระทั่งอาบน้ำกับคริสติน่า และพามันไปโรงเรียนอนุบาลด้วย แต่ทำอยู่ไม่กี่วันก็เก็บคริสติน่าไว้ที่บ้านตามเดิม โดยลูกสาวบอกกับเธอว่า คริสติน่าบอกว่าเบื่อที่จะต้องไปอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน
จนคราวหนึ่งเพื่อนสนิทที่สุดของลูกสาวมาเล่นด้วยแล้วทำขาของคริสติน่าหัก จัสมินร้องไห้ปานจะขาดใจและซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ลูกสาวยืนยันกับเธอและสามีว่าจะต้องจัดงานศพฝังเท้าส่วนที่หักไปให้ตุ๊กตาด้วย และได้เชิญแขกมาราวกับเป็นงานศพของคนจริง ๆ กระทั่งเพื่อนคนที่ทำให้เท้าของตุ๊กตาหักก็ถูกเชิญมาด้วย โดยลูกสาวบอกว่านี่เป็นความต้องการของคริสติน่า ซึ่งตอนนั้นเธอไม่ได้คิดมากอะไร เข้าใจว่าเป็นจินตนาการของเด็ก ๆ เท่านั้น
แต่ไม่นานนักเธอก็เริ่มตระหนักว่าตัวเองคิดผิด เมื่อกลางดึกคืนหนึ่งลูกสาวของเธอร้องไห้จ้า และมาบอกเธอว่าคริสติน่ารู้สึกเจ็บปวดมากเพราะโดนมดรุมกัดเท้า แล้วรบเร้าให้ไปขุดเท้าที่ฝังไปแล้วขึ้นมา ซึ่งเธอก็ยอมทำตาม และพบว่ามีมดรุมอยู่ที่เท้าหัก ๆ ของตุ๊กตาจริง ๆ ตอนนั้นเองที่เธอคิดว่านี่มันมากเกินกว่าที่จินตนาการของเด็กวัย 6 ขวบกว่า ๆ จะคิดได้แล้ว ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจแอบนำคริสติน่าเก็บใส่หีบล็อกกุญแจแล้วไว้ที่ห้องใต้หลังคา และบอกกับลูกสาวซึ่งอายุ 7 ขวบแล้วว่า คริสติน่าเดินทางไปหาครอบครัวที่อังกฤษ จากนั้นเวลาก็ล่วงเลยมานาน จนเธอย้ายบ้านและได้นำคริสติน่าออกมาขายทางอีเบย์ กระทั่งมันถูกซื้อไปในที่สุด
หลังจาก Shana เจ้าของคนใหม่ ได้มันมาครอบครองแล้ว เธอก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ แต่จะถึงขั้นเรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตของเธอก็ไม่ใช่ บางวันที่กลับบ้านมาเธอสังเกตว่าเท้าของคริสติน่าห้อยออกมานอกเก้าอี้โยกตัวเล็ก ๆ ที่เธอวางมันไว้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนออกจากบ้านมันไม่ได้อยู่ในท่าทางนั้น คริสติน่าไม่ชอบโดนถ่ายรูป โดยกล้องของเธอจะติด ๆ ดับ ๆ หรือดับไปเลยแทบทุกครั้งที่พยายามถ่าย บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนเห็นมันโบกมือให้ตอนก่อนที่เธอไปทำงาน หรือยามที่เธอหวีผมให้มัน แต่ในวันรุ่งขึ้นผมของคริสติน่าก็จะกลับไปยุ่งเหยิงเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนกับว่ามันพอใจให้ผมของตัวเองเป็นอย่างนั้น
อย่างไรก็ดี ไม่มีความผิดปกติอะไรร้ายแรงไปมากกว่านี้ ซึ่ง Shana ก็รู้สึกโอเคกับมัน และคิดว่าคริสติน่าคงมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับเธอที่นิวยอร์กนี้เอง
มารีรักและผูกพันกับเอมิเลียมาก แต่ก็ต้องระหกระเหินหนีภัยสงคราม ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ตุ๊กตาตัวดังกล่าวสูญเสียแขนทั้งสองข้าง หนังศีรษะ และเส้นผมบางส่วนหายไปจากแรงระเบิดที่ทิ้งลงมายังขบวนรถไฟที่กำลังแล่นหนีจุดที่โดนโจมตี แต่อย่างไรก็ดีมันยังเป็นเพื่อนรักของมารีเสมอ เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยหากได้อยู่กับตุ๊กตาสุดที่รัก
ผู้ร่วมหลุมหลบภัยช่วงหนีสงครามกับมารีเล่าว่า เขาเห็นตุ๊กตาเอมิเลียส่งยิ้มมาให้ขณะที่มันอยู่บนตักของเธอ ส่วนมารีก็บอกว่า เมื่อตอนที่มันยังมีแขนอยู่ เอมิเลียกะพริบตาให้เธอ และมือของมันก็ขยับเองได้ด้วย หนำซ้ำมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอได้ยินเอมิเลียพูดออกมาว่า "มันไม่ดีเลยนะ" บางทีเธออาจจะฟังผิด อาจจะเป็นเสียงอย่างอื่นที่มาจากเอมิเลียก็ได้ เพราะเอมิเลียมีกล่องที่ทำให้ส่งเสียงได้ติดอยู่ แต่มันก็พังไปนานตั้งแต่ตอนหลบลูกระเบิดแล้ว.. แต่อย่างไรก็ตาม เธอรู้สึกยินดีที่เอมิเลียพูดด้วย แม้หลายครั้งเธอจะฟังไม่ออกว่ามันพูดว่าอะไร มารีรู้สึกผูกพันกับตุ๊กตาตัวนี้มาก ถึงขนาดตั้งชื่อลูกสาวของตัวเองว่า "เอมิเลีย" ตามตุ๊กตา
ปัจจุบันมารีเสียชีวิตลงแล้ว และเอมิเลียตกอยู่ภายใต้การดูแลของลูกสาวเธอ ซึ่งเธอกล่าวว่ายังคงได้ยินเสียงสะอื้นไห้ดังมาจากเอมิเลีย ราวกับว่ามันกำลังคิดถึงเจ้าของเดิมของตัวเอง
9. เมอร์ซี่ ตุ๊กตาผีสิง
เมอร์ซี่เป็นตุ๊กตาอีกหนึ่งตัวที่ถูกขายและซื้อต่อกันทางอินเทอร์เน็ต เชอร์รี คุนน์ เจ้าของคนล่าสุดของมัน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเห็นมันแสดงความเฮี้ยนมากเท่าใดนัก แค่สุ่มซื้อมาเพื่อหวังลองของพิสูจน์ว่ามีผีสิงจริง ๆ หรือเปล่าเท่านั้นเอง
แต่อย่างไรก็ดี การท้าพิสูจน์ของเธอทำให้ได้รู้ว่าเธอมองไม่พลาดจริง ๆ ที่คิดว่าตุ๊กตาตัวนี้อาจมีวิญญาณชั่วร้ายอะไรบางอย่างสิงอยู่ เมื่อแรกได้มันมาเธอเริ่มพิสูจน์ด้วยการถ่ายรูปมันด้วยกล้องจับพลังงาน และเมื่อล้างฟิล์มก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่า เธอเห็นวงพลังงานเป็นแสงบางอย่างออกมาจากตัวของเมอร์ซี่ หลังจากคืนนั้นวิทยุที่อยู่ในห้องที่เธอถ่ายรูปก็เกิดจูนหมุนเปลี่ยนสถานีได้เอง สองวันหลังจากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาเพราะว่าเมอร์ซี่ร่วงลงจากชั้นที่วางมันไว้ แต่ก็ต้องสะดุ้งปนขนลุกเมื่อได้พบว่า แทนที่มันจะนอนล้มอยู่ที่พื้นตามวิสัยสิ่งของไร้ชีวิตทั่วไป เมอร์ซี่กลับหล่นลงมาในท่ายืนสองขาอยู่บนพื้นด้วยตัวเอง หลังจากนั้นมาเธอจึงเชื่ออย่างแรงกล้าว่าจะต้องมีพลังลึกลับอะไรบางอย่างแฝงอยู่กับตุ๊กตาตัวนี้แน่ ๆ และเก็บมันแยกออกไว้ต่างหาก เพราะเธอรู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่มีมันอยู่ใกล้ ๆ
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นตุ๊กตาผีสิง แต่ คริสติน่า น่าจะเป็นตุ๊กตาผีสิงที่รักสงบที่สุดในบรรดาตุ๊กตาทุก ๆ ตัวที่กล่าวมา Shana St. German นักพิสูจน์เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ ได้ซื้อมันมาจากเจ้าของเดิมในอีเบย์ ผู้ซึ่งเขียนจดหมายมาขอบคุณเธออย่างมากมายที่ช่วยให้คริสติน่าได้บ้านหลังใหม่ พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาของคริสติน่าให้ฟังว่า..
เธอพบมันที่ร้านขายของเก่า Red Barn ในเมืองเจฟเฟอสัน รัฐเทกซัส ตอนแรกนั้นเธอแค่รู้สึกสะดุดตากับตุ๊กตาพอร์ซเลนผมยุ่ง ๆ ตัวนี้ แต่แล้วก็ได้ซื้อมันกลับมาในที่สุด หลังจากเจ้าของร้านยืนยันว่าตุ๊กตาตัวดังกล่าวบอกกับเขาว่าอยากจะไปอยู่กับเธอจริง ๆ โดยทราบประวัติคร่าว ๆ ว่ามันเป็นตุ๊กตาเก่าที่น่าจะถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 แต่ไม่ทราบเลยว่าก่อนหน้าที่จะมาอยู่ที่ร้านขายของเก่ามันเคยถูกครอบครองโดยใครมาบ้าง อย่างไรก็ดี เธอได้มอบมันให้กับจัสมิน ลูกสาววัย 6 ขวบของเธอ และเด็กหญิงตั้งชื่อให้มันว่า "คริสติน่า"
จัสมินชอบตุ๊กตาตัวใหม่ของเธอมาก เธอเล่น กิน นอน แม้กระทั่งอาบน้ำกับคริสติน่า และพามันไปโรงเรียนอนุบาลด้วย แต่ทำอยู่ไม่กี่วันก็เก็บคริสติน่าไว้ที่บ้านตามเดิม โดยลูกสาวบอกกับเธอว่า คริสติน่าบอกว่าเบื่อที่จะต้องไปอยู่ที่โรงเรียนทุกวัน
จนคราวหนึ่งเพื่อนสนิทที่สุดของลูกสาวมาเล่นด้วยแล้วทำขาของคริสติน่าหัก จัสมินร้องไห้ปานจะขาดใจและซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ลูกสาวยืนยันกับเธอและสามีว่าจะต้องจัดงานศพฝังเท้าส่วนที่หักไปให้ตุ๊กตาด้วย และได้เชิญแขกมาราวกับเป็นงานศพของคนจริง ๆ กระทั่งเพื่อนคนที่ทำให้เท้าของตุ๊กตาหักก็ถูกเชิญมาด้วย โดยลูกสาวบอกว่านี่เป็นความต้องการของคริสติน่า ซึ่งตอนนั้นเธอไม่ได้คิดมากอะไร เข้าใจว่าเป็นจินตนาการของเด็ก ๆ เท่านั้น
แต่ไม่นานนักเธอก็เริ่มตระหนักว่าตัวเองคิดผิด เมื่อกลางดึกคืนหนึ่งลูกสาวของเธอร้องไห้จ้า และมาบอกเธอว่าคริสติน่ารู้สึกเจ็บปวดมากเพราะโดนมดรุมกัดเท้า แล้วรบเร้าให้ไปขุดเท้าที่ฝังไปแล้วขึ้นมา ซึ่งเธอก็ยอมทำตาม และพบว่ามีมดรุมอยู่ที่เท้าหัก ๆ ของตุ๊กตาจริง ๆ ตอนนั้นเองที่เธอคิดว่านี่มันมากเกินกว่าที่จินตนาการของเด็กวัย 6 ขวบกว่า ๆ จะคิดได้แล้ว ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจแอบนำคริสติน่าเก็บใส่หีบล็อกกุญแจแล้วไว้ที่ห้องใต้หลังคา และบอกกับลูกสาวซึ่งอายุ 7 ขวบแล้วว่า คริสติน่าเดินทางไปหาครอบครัวที่อังกฤษ จากนั้นเวลาก็ล่วงเลยมานาน จนเธอย้ายบ้านและได้นำคริสติน่าออกมาขายทางอีเบย์ กระทั่งมันถูกซื้อไปในที่สุด
หลังจาก Shana เจ้าของคนใหม่ ได้มันมาครอบครองแล้ว เธอก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ แต่จะถึงขั้นเรียกว่ารบกวนการใช้ชีวิตของเธอก็ไม่ใช่ บางวันที่กลับบ้านมาเธอสังเกตว่าเท้าของคริสติน่าห้อยออกมานอกเก้าอี้โยกตัวเล็ก ๆ ที่เธอวางมันไว้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนออกจากบ้านมันไม่ได้อยู่ในท่าทางนั้น คริสติน่าไม่ชอบโดนถ่ายรูป โดยกล้องของเธอจะติด ๆ ดับ ๆ หรือดับไปเลยแทบทุกครั้งที่พยายามถ่าย บางครั้งเธอรู้สึกเหมือนเห็นมันโบกมือให้ตอนก่อนที่เธอไปทำงาน หรือยามที่เธอหวีผมให้มัน แต่ในวันรุ่งขึ้นผมของคริสติน่าก็จะกลับไปยุ่งเหยิงเหมือนเดิมอีกครั้ง เหมือนกับว่ามันพอใจให้ผมของตัวเองเป็นอย่างนั้น
อย่างไรก็ดี ไม่มีความผิดปกติอะไรร้ายแรงไปมากกว่านี้ ซึ่ง Shana ก็รู้สึกโอเคกับมัน และคิดว่าคริสติน่าคงมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่กับเธอที่นิวยอร์กนี้เอง