
ภาพยนตร์แต่ละเรื่องที่เป็นที่นิยมชมชอบของคนหลายคน จะสมบูรณ์แบบไม่ได้เลยหากไม่มีซาวนด์แทร็คประกอบดี ๆ การเลือกซาวนด์แทร็คมาประกอบนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องดูทั้งเนื้อหาของเพลง จังหวะ และแนวเพลงเพื่อให้สอดคล้องชวนให้อินไปกับภาพที่กำลังฉายออกมาเบื้องหน้าของผู้ชม วันนี้เราจึงนำรายชื่อซาวนด์แทร็คที่ดีที่สุดประจำปีนี้ที่จัดอันดับโดยเว็บไซต์ Indiewire มาให้ดูกันว่าซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์ประจำปี 2013 นี้จะมีจากภาพยนตร์ไหนบ้างนะ และมีเพลงโปรดของเพื่อน ๆ บ้างหรือเปล่า มาดูกันเลยจ้า

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Inside Llewyn Davis
หนังอันดับ 1 เต็มไปด้วยคุณภาพเรื่องนี้สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงของศิลปินโฟล์คในตำนานอย่าง เดฟ แวน รองค์ (Dave Van Ronk) ศิลปินแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาปี 1997 และเสียชีวิตในปี 2002 เขาเป็นเพื่อนสนิทของบ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan) และศิลปินคุณภาพอมตะอีกหลายคน แถมหนังเรื่องนี้ยังได้ชื่อว่าดีที่สุดของปีนี้ แถมยังการันตีจากรางวัลรองชนะเลิศจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ด้วย และคาดว่าจะได้รับชื่อเข้าชิงออสการ์ด้วย
หนังเรื่องนี้เล่าประวัติชีวิตของเดฟ แวน รองค์ ที่เขาต้องสู้ปากกัดตีนถีบในการเล่นดนตรีเพื่อไปให้ถึงฝัน และเชื่อว่าสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นใหม่หลาย ๆ คน แน่นอนว่าซาวด์แทร็กในหนังเรื่องนี้ก็ต้องเป็นแนวโฟล์ค บางเพลงเป็นเพลงของ Dave Van Ronk แบบดั้งเดิม บางเพลงก็ถูกเอามาขับร้องใหม่เช่น Hang Me, Oh Hang Me ที่ขับร้องใหม่โดย Oscar Isaac ซึ่งเล่นเป็นเดฟในเรื่อง และเพลงเพราะอื่น ๆ อีกหลายเพลงฟังสบายที่ร้องโดยนักแสดงในเรื่องอย่าง Justin Timberlake, Carey Mulligan และได้ Marcus Mumford นักร้องวง Mumford & Son มาร่วมร้องหลายเพลงทีเดียว และที่ขาดไม่ได้คือเพื่อนรักของเดฟอย่าง บ๊อบ ดีแลน ในเพลง Farewell ก็ได้เข้ามาประกอบในหนังเรื่องนี้ด้วย นับว่าเป็นหนังคุณภาพเยี่ยมที่ควรดู แถมซาวนด์แทร็คก็ยังเพราะ มีคุณค่าอีกด้วย เหมาะที่สุดแล้วในการได้อันดับหนึ่งของปี 2013 สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Indise Llewyn Davis


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์ททางการภาพยนตร์ Frances Ha
หนังแนวตลกคลายเครียด เนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Frances หญิงสาวที่ไปอาศัยในเมืองนิวยอร์ก แต่ไม่มีที่อยู่ของตัวเอง จึงต้องไปพักอาศัยชั่วคราวในห้องพักผู้ทดลองงานของบริษัทเต้นรำ แต่เธอไม่ได้เป็นนักเต้นรำ เธอมีเพื่อนสนิทชื่อ Sophie แต่ไม่ได้ติดต่อพูดคุยกันมากนัก ชีวิตของเธอมีแต่ความสนุกสนาน และอิสระไม่ต้องคอยรับผิดชอบอะไร ซาวด์แทร็กส่วนใหญ่ของหนังเรื่องนี้เป็นเพลงอินดี้วัยรุ่น ๆ และส่วนมากหยิบมาจากเพลงที่จัดอันดับโดย Pitchfork เช่นเพลงจากวง Vampire Weekend และ Grizzly Bear แต่ก็มีการหยิบเพลงเก่า ๆ อย่าง Blue Sway จาก Paul McCartney, Miss Butter\'s Lament จาก Harry Nilsson, Modern Love จาก David Bowie และ Chrome Sitar จาก T.Rex มาใช้ให้ได้อีกอารมณ์เหมือนกันนะ


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก American Hustle
หนังที่สร้างจากเรื่องจริงในยุค 80 เกี่ยวกับนักต้มตุ๋นฉลาดเฉลียวไอร์วิ่ง โรเซนเฟล์ดที่ต้องมาทำงานกับ FBI เพื่อเปิดโปง และกำจัดการคอร์รัปชั่น ทำให้ต้องพัวพันกับด้านมืดกับพวกมาเฟีย การพนัน และนักการเมืองชั่วร้าย ซาวนด์แทร็คในเรื่องนี้เน้นการหยิบยกเพลงเก่าตามยุคสมัยของเนื้อเรื่องหนังมาใช้ อย่างเพลงแจ๊สทำนองเซ็กซี่ Jeep\'s Blues จาก Duke Ellington Delilah จาก Tom Jones และเมื่อพูดถึงยุค 80 จะขาดเพลงดิสโก้อย่าง i Feel Love จาก Donna Summer ไปได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ยังมีเพลงจากวงเก๋ารุ่นเก่าอย่าง I Started A Joke และ How Can You Mend A Broken Heart จาก Bee Gees โดยเน้นเพลงในยุค 60-80 มาประกอบหนังเป็นหลัก


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์ททางการภาพยนตร์ Something In The Air
หนังดราม่าชีวิตจากประเทศอังกฤษ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นที่กำลังหาวิธีดำเนินการกับการปฏิวัติความรุนแรงในเดือนพฤษภาคม 1968 โดยมีกิลส์ และแฟนของเขาคริสติน เป็นตัวเองของเรื่อง โดยกิลส์มุ่งมั่นเพื่อสร้างความสมดุลทางการเมืองของเขาด้วยการวาดภาพ และสร้างภาพยนตร์แบบที่เขาชอบ ซาวนด์แทร็คของหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นเพลงจากแนว Psychedelice Folk Progessive ในยุค 70 เช่น Terrapin จาก Syd Barrett, Captain Beefheart, Tangerine Dream และโฟล์คแบบอังกฤษอย่าง Ballad Of William Worthy จาก Phil Ochs และร็อคยุค 70 จากอังกฤษอย่าง Why Are We Sleeping จาก Soft Machine

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Sightseers
หนังตลกน่ารัก ๆ จากประเทศอังกฤษที่เกี่ยวกับคู่รักคู่หนึ่งคือ Chris และ Tina เริ่มจาก Chris อยากสร้างความประทับใจให้แฟนสาวโดยการพาเดินทางท่องเที่ยวผ่านเกาะ British Isles ไปกับกองคาราวานของเขา โดยเขาต้องการโชว์ให้แฟนสาวเห็นสถานที่สวย ๆ ที่เขาชื่นชอบ แต่ความฝันของเขาต้องสลายไปเมื่อไปแล้วพบแต่กองขยะ กลุ่มวัยรุ่นเสียงดังโหวกเหว ที่พักก็ถูกจองเต็มหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้แหละบั่นทอนความโรแมนติกของเขากับแฟนสาวเต็ม ๆ พูดถึงซาวนด์แทร็คในหนังเรื่องนี้้ จะเป็นเพลงสไตล์ป็อปในยุค 80\'s ที่มีดนตรีสนุกสนาน อย่างเพลง Tainted Love และ Where Did Out Love Go จาก Soft Cell และเพลงช้าอย่าง The Power Of Love จาก Frankie Goes To Hollywood จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของซาวด์แทร็กในหนังเรื่องนี้ก็คือเลือกเพลงร็อคยุค 70 จากเยอรมันเข้ามาประกอบจากหลายวง เช่น Neu!, Harmonia และ Popol Vuh ใครที่ชอบฟังเพลงสากลในยุครุ่นพ่อแล้วล่ะก็ ลองดูหนังเรื่องนี้เลย


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก The Bling Ring
หนังวัยรุ่นสนุก ๆ ที่อิงจากเรื่องจริงเกี่ยวกับแก๊งวัยรุ่น 5 คนที่บ้าแฟชั่นตามดาราฮอลลีวูดซึ่งเป็นไอดอลของพวกเขา มีการวางแผนเข้าไปกวาดเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับในบ้านของเซเลบที่พวกเขาชื่นชอบหลายคน จนได้มามากมาย ในหนังวัยรุ่นเรื่องนี้มีซาวนด์แทร็คเจ๋ง ๆ เยอะมาก อาจเพราะเป็นหนังวัยรุ่น จึงต้องหยิบซาวด์แทร็กแนวเพลงที่กำลังเทรนด์ในหมู่วัยรุ่นมาใส่ อย่างเพลงแนวฮิพฮอพจาก Frank Ocean เพลง Super Rich Kid รวมทั้งเพลงจากแร็พเปอร์ตัวพ่อ Kanye west ที่อัลบั้มใหม่ดังพลุแตกในปีนี้ เพลงของเขาปรากฏในหนังเรื่องนี้ 2 เพลงด้วยกัน คือ All Of The Lights ft. Rihanna, Kid Cudi และ Power ไม่เพียงเท่านั้นยังหยิบเพลงจากแร็พเปอร์มากฝีมืออีกคนคือ 2 Chainz เพลง Money Machine และแน่นอนต้องมีเพลงแนว Dubstep ที่กำลังอินสุดในปีนี้มาใช้ด้วยอย่าง FML จาก Deadmau5 เห็นไหมล่ะว่าแต่ละเพลงคัดสรรมาเอาใจวัยรุ่นเต็ม ๆ เลย


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก The Broken Circle Breakdown
หนังดีดนตรีเพราะจากประเทศเบลเยียมเรื่องนี้ เอาใจคนที่ชอบดนตรีแนวคันทรี่อเมริกันโดยเฉพาะเลยล่ะ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชายหญิง 2 คนคือ Elisa และ Didier ที่หลงรักดนตรีแนวคันทรี่อเมริกันเหมือนกัน อยู่ไปอยู่มาจนมีลูกสาว 1 คน นั่นเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้ง 2 คนต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเพลงแนวคันทรี่อเมริกันที่ประกอบในเรื่อง โดยได้หยิบยกเพลงธรรมดาทั่วไปบางเพลงมาทำใหม่ในดนตรีแนวคันทรี่เช่น Wayfaring Stranger เดิมเป็นเพลงของนักร้องหนุ่ม Ed Sheeran แต่ในหนังเรื่องนี้ได้เอามาใส่ดนตรี และขับร้องใหม่โดย Veerle Baetens นางเอกของเรื่อง ผลลัพธ์คือออกมาไพเราะมาก ๆ ในสไตล์คันทรี่ รวมทั้งเพลงอื่นที่ใช้ประกอบหนังเรื่อง นี้โดยเฉพาะ และทุกเพลงล้วนแล้วแต่เพราะ ๆ ทั้งนั้น เอาใจไปเต็ม ๆ เลยค่ะสำหรับคนที่ชอบเพลงแนวนี้ ลองไปหาฟังเพลิน ๆ ทั้งอัลบั้มดูก็ชิลไม่เบา


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์ทางการภาพยนตร์ Simon Killer
หนังเรื่องนี้ได้รางวัลจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2012 เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อ ไซมอน (Simon) ที่เดินทางไปกรุงปารีส และมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงขายบริการจากตะวันออกกลาง และผู้หญิงฝรั่งเศสที่พบบนรถไฟฟ้าใต้ดิน จากนั้นเขาก็ได้แสดงพฤติกรรมอันแสน โรคจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ จนปะทุออกมาหมดเปลือก เหล่านี้เป็นปมทำให้เกิดเรื่อง และจะได้เห็นผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของเขาด้วย หนังเรื่องนี้เลือกซาวด์แทร็กที่ฟังแล้วรู้สึกเกิดอารมณ์ร่วมตามเรื่องราวในหนัง อย่าง Beat and The Pulse จาก Austra และ Apply จาก Glasser ที่มีดนตรีน่าตื่นเต้นชวนให้ติดตาม อีกหนึ่งเพลงที่จะได้ยินซ้ำ ๆ บ่อยครั้งในหนังเรื่องนี้คือ It Takes A Muscle to Fall in Love จาก Spectral Display และเมื่อถึงฉากที่ไซมอนเดินไปรอบ ๆ กรุงปารีส จะได้ยินเพลงแนวโซลเพราะ ๆ อย่าง We Have Love จาก The Arrows และ เพลงจาก Richard Cook ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในหนังเรื่องนี้ก็มีเพลงน่ารักสดใสจากวงเกิร์ลกรุ๊ปญี่ปุ่นอย่าง Animal จาก The Suzan รวมทั้งเพลงจังหวะน่าขยับแข้งขยับขาแนวดิสโก้ อย่าง Dance Yrself Clean จาก LCD Soundsystem ด้วย เห็นไหมล่ะว่าหนังเรื่องนี้เค้าคัดสรรแต่เพลงคุณภาพให้อินเข้าไปในอารมณ์จริง ๆ


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Drinking Buddies
หนังอินดี้แนวตลกคลายเครียดที่เกี่ยวกับเพื่อน 2 คนที่สุดแสนจะดื่มเก่ง และขี้เมามาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังไม่ทันสุกงอมดีก็เป็นปัญหาเสียแล้ว เพราะ Luke พระเอกของเรื่องหลงรักนางเอกที่เป็นเพื่อนคู่หูของตน หนังอินดี้เรื่องนี้เน้นการเลือกซาวนด์แทร็คประกอบภาพยนตร์ด้วยเพลงแนวอินดี้ร็อก ส่วนใหญ่มาจากค่าย Jagjaguwar Records, Orange Twin และ Subliminal Sound เช่นเพลงจากวง Cayucas, Rubblebucket, Foxygen และวงแนวอิเล็กโทรร็อค Phedre หนังเรื่องนี้จึงมีซาวนด์แทร็คดี ๆ ดนตรีวัยรุ่น ๆ หลายเพลง เช่่น Dragon จาก The Amazing, Tonight จาก Sibylle Baier และ Soon It Will Be Fire จาก Richard Youngs ด้วยความที่หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวในยุค 70 ฉะนั้นพลาดไม่ได้ที่จะต้องหยิบดนตรีในยุค 70 มาเป็นซาวด์แทร็ก เช่น The End of That จาก Plants and Animals และ Lady Luck จาก Richard Swift


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก The Wolf of Wall Street
The Wolf of Wall Street จากผลงานของผู้กำกับรางวัลออสการ์ มาร์ติน สกอร์เซซี่ (Martin Scorsese) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโบรกเกอร์หนุ่มชาวนิวยอร์ก ที่ไม่คิดจะเข้าร่วมแผนการฉ้อโกงครั้งยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ Wallstreet ธนาคารแห่งใหญ่ของโลก เป็นหนังที่มีเค้ามาจากเรื่องจริงของโบรกเกอร์ชื่อดัง จอร์แดน เบลฟอร์ (Jordan Belfort) การเลือกซาวด์แทร็กที่จะนำมาใช้ในหนังเรื่องนี้ ใช้วิธีการเลือกเพลงที่มีกลิ่นอายของความเป็นดนตรีในยุค 90 เสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างเพลง Sloop John B. เวอร์ชั่นที่ Me First And The Gimmie Gimme ดึงมาคัฟเวอร์จาก The Beach Boys, Hip Hop Hooray จาก Naughty by Nature ที่ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอร้องกับเพื่อนตัวโกงของเขา, Mrs.Robinson จาก Simon & Garfunkel ที่คัฟเวอร์โดย The Lemonhead นอกจากนี้ยังได้หยิบเพลงแนวดิสโก้ชวนเต้นของ Laura Branigan อย่างเพลง Gloria ที่คัฟเวอร์โดย Sebastian Lelio มาเป็นซาวด์แทร็กในหนังเรื่องนี้ด้วย


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก The World\'s End
จุดเด่นของหนัง The World\'s End ก็คือการที่คุณได้ลองนึกถึงชีวิตในวัยหนุ่มสาว พร้อมกับโรคพิษสุราเรื้อรัง และหุ่นยนต์ตัวร้ายจากดาวอื่นที่แม้ว่ามันจะเกือบมาฆ่าคุณแล้วก็ตาม ซาวนด์แทร็คในเรื่องนี้ก็เพอร์เฟคท์เข้ากับเนื้่อเรื่องมาก ๆ เพราะได้หยิบเอาเพลงแนวบริทป็อปจากยุค 80 และ 90 อย่างวง Pulp, Blur, Suede, Teenage Fanclub, The Stone Roses และอีกหลากหลายวง มาประกอบในเรื่องนี้ โดยผู้กำกับ เอ็ดการ์ ไรวท์ (Edgar Wright) ให้ความสำคัญในการเลือกซาวด์แทร็กมาประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เพื่อให้หนังได้ออกมาดีที่สุด และเพลงที่โดดเด่นสุด ๆ ในเรื่องนี้ก็คือ Primal Scream จากวง Loaded ประกอบในฉากเปิด และ Step Back In Time จากนักร้องสาว Kylie Minogue ที่จังหวะดนตรีมีกลิ่นอายของความเป็นดิสโก้สุดฮิตในยุค 80


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์ทางการภาพยนตร์ The Kings of Summer
หนังแนวชีวิตวัยรุ่นโดยทั่วไปต้องทำให้มีสิ่งดึงดูดใจให้คนเข้ามาชม อาจไม่เกิดขึ้นเพราะตัวหนังเอง ก็ต้องใช้ทางด้านธุรกิจเข้ามาช่วย อย่างเรื่องนี้ได้ถูกกล่าวถึงในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ (Sundance) ด้วย หนังเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับชีวีตวัยรุ่นที่เข้าไปหาประสบการณ์ในป่าในช่วงปิดเทอม และสร้างบ้านของตัวเองในป่า ทำให้รู้สึกถึงความสำคัญของครอบครัว และมิตรภาพ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงเลือกเพลงประกอบจากวงวัยรุ่นร็อค ๆ อย่าง The Youth จากวง MGMT เพื่อให้เข้ากับเนื้อเรื่อง และยังมีเพลง 17 จาก Youth Lagoon รวมทั้งเพลงจังหวะอิเล็กโทรสนุก ๆ อย่าง Golden Clouds จาก The Orb ด้วย แต่เพลงที่น่าประหลาดใจที่สุด และไม่มีใครคาดคิด คือ Cowboy Song จาก Thin Lizzy วงรุ่นใหญ่สุดเก๋า ซึ่งเพลงนี้ไม่ได้เป็นอยู่ในปีนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงที่ดีเพลงหนึ่งที่เหมาะกับการประกอบหนังเรื่องนี้เลยล่ะ


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Afternoon Delight
หนังอินดี้โดย จิลล์ โซโลเวย์ (Jill Soloway) ที่ได้รางวัล Best Movie 2013 จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ (Sundance) ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในบ้านเรา มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวที่ทำงานเต้นระบำเปลื้องผ้า และเธอต้องอยู่บ้านกับแม่ในภาวะวิกฤต เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นหนังสะท้อนสังคมนั่นเอง หนังประโลมโลกเรื่องนี้มีเพลงประกอบที่ดีหลายเพลงที่ได้รับการคัดสรรมาแล้วอย่าง Hit It and Quit It, I wanna Know If It\'s Good To You และ Biological Speculation จากวง Parliament Funkadelic และในเรื่องได้ใช้จังหวะแนวฮิปฮอปผสมอินดี้-อิเล็กโทรเซ็กซี่ ๆ ประกอบฉากที่มี Juno Temple ออกมาเต้น ซึ่งในเรื่องเธอรับบทเป็นสาวทำงานเต้นเปลื้องผ้า แต่เรื่องที่น่าเศร้าอย่างหนึ่งสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ไม่มีเพลงที่เป็นทางการไว้ใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Frozen
Frozen เป็นการ์ตูนจากค่ายดิสนีย์ที่เพิ่งจะเข้าฉายส่งท้ายปี 2013 การ์ตูนเรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปจากดิสนีย์รุ่นก่อน ๆ คือเป็นการ์ตูนแนวมิวสิคัลที่มีเพลงใหม่ ๆ เข้ามาประกอบหลายเพลง อย่างเพลง Let It Go จาก นักร้องสาวสมัยใหม่ เดมี โลวาโต (Demi Lovato) ที่เป็นเพลงช้าเพราะ ๆ ฟังได้ทุกที่ทุกเวลา ส่วนเพลงอื่น ๆ จากการ์ตูนเรื่องนี้ที่เพราะ ๆ ก็มีอีกหลายเพลงเลยล่ะ อย่าง Love Is An Open Door, Do You Want To Build A Snowman?, Reindeers Are Better Than People, For The First Time In Forever และ Frozen Heart


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก The Hunger Games
ซาวนด์แทร็คจาก The Hunger Games แอบมีส่วนคล้ายกับซาวนด์แทร็คของ Twilight นิด ๆ หน่อย ๆ คือมักจะนำเพลงจากศิลปินที่โด่งดัง และทันสมัย บวกกับแนวเพลงสไตล์อัลเทอเนทีฟร็อกเข้ามาใช้ประกอบภาพยนตร์ อย่างไรก็ตามซาวด์แทร็กของ The Hunger Games ก็เจ๋งกว่าเยอะ เพราะเพลงประกอบภาพยนตร์มีการผสมผสานจากนักร้องหลากหลายแนว และเนื้อเพลงของแต่ละเพลงก็สละสลวยเข้ากับหนังเรื่องนี้ อย่างเพลง Atlas จาก Coldplay, Silhouettes จาก Monster & Men, Who We Are จาก Imagine Dragon, Lean จาก The National, Capitol Letter จาก Patti Smith และเพลงสไตล์ R&B อย่าง Elastic Heart จาก Sia ft. The Weekend
หากใครที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องไหนใน 15 เรื่องที่นำมาฝากกันในวันนี้ แนะนำว่าให้ไปหาดูเสียนะคะจะได้ไม่ตกเทรนด์ยังไงล่ะ เพราะบอกเลยว่าทุกเรื่องที่บอกมานี้คุณภาพอัดแน่นเต็ม ๆ ทั้งตัวหนังเอง และเพลงประกอบเลยจ้า