ช่วงนี้กระแสซีรีส์แนวย้อนยุค หรือแนวพีเรียด กำลังได้รับความนิยม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ซีรีส์เกาหลีแนวย้อนยุค หรือซีรีส์จีนย้อนยุค เท่านั้นที่สนุกและน่าสนใจ ยังมีของทางฝรั่งที่ได้รับความนิยมและถูกพูดถึงไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะนอกจากเนื้อหาที่เข้มข้นแล้วยังรวมไปถึงคอสตูมอลังการที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินไปพร้อมกับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี วันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมซีรีส์แนวย้อนยุคเด็ด ๆ ที่มีเนื้อหาเข้มข้น มาให้แฟน ๆ ได้ลองเลือกชมกัน ขอบอกก่อนว่างานนี้รวมไว้ทั้งยุคเก่าตั้งแต่สมัยไวกิ้งไปจนถึงเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์วินด์เซอร์เลยทีเดียว ... รับรองว่าเด็ดโดนใจคอซีรีส์กันอย่างแน่นอน ส่วนจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันเลย
1. Spartacus ขุนศึกชาติทมิฬ (2010-2013)
ถ้าคุณไม่ชอบแนวเลือดสาดหรือความรุนแรง เราขอแนะนำให้ข้ามซีรีส์เรื่องนี้ไป Spartacus ซีรีส์พีเรียดสุดเข้มข้นที่จะพาผู้ชมไปยังอาณาจักรโรมันสมัยที่ยังมีทาสอยู่ หนังว่าด้วยเรื่องราวของนักสู้ชาวเธรซที่ถูกสั่งให้ลงสังเวียนการต่อสู้แห่งความตายอันโหดร้าย ทางเดียวที่จะเอาชีวิตรอด คือต้องเอาชนะคู่ต่อสู้และถือกำเนิดใหม่เป็นทาสกลาดิเอเตอร์นาม "สปาร์ตาคัส" เพื่อเอาชีวิตให้รอดสปาร์ตาคัสต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อแลกกับอิสรภาพของตัวเอง ซีรีส์มีทั้งหมด 4 ซีซั่น หากใครที่ชื่นชอบแนวนี้รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
2. Downton Abbey (2010-2015)
หลายคนคุ้นเคยกับกับซีรีส์สุดคลาสสิกของอังกฤษเรื่องนี้กันดี สำหรับ Downton Abbey ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก กับเรื่องราวของขุนนางตระกูลครอว์ลีย์และคนรับใช้ของพวกเขาที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งเรื่องราวจะเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์สำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็น การรับมือกับสงครามโลกครั้งที่ 1, การสูญเสีย 2 ทายาทจากเรือไททานิคล่ม, เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดในปี ค.ศ. 1918 และเรื่องอื้อฉาวมาร์โคนีในซีซั่นที่ 2, เกิดระหว่างสมัยสงคราม และการก่อตัวของเสรีรัฐไอริชในซีซั่นที่ 3, เรื่องอื้อฉาวทีพอตโดมในซีซั่นที่ 4 การเลือกตั้งของสหราชอาณาจักร ค.ศ. 1923, การสังหารหมู่ที่อมฤตสาร์ และเกิดการกบฏโรงเบียร์ในซีซั่นที่ 5 และในซีซั่น 6 จะเป็นบทสรุปของทุกเรื่องราวในครอบครัวครอว์ลีย์ ความลับที่พวกเขาปิดบังไว้ และเหล่าคนรับใช้ที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้อนาคตของพวกเขาไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป หากใครยังคาใจกับตอนจบของซีรีส์เรื่องนี้สามารถหาชมต่อกันได้ในฉบับภาพยนตร์ที่จะสานต่อเรื่องราวจากตอนจบของซีรีส์นั่นเอง
3. Game of Thrones มหาศึกชิงบัลลังก์ (2011-2019)
ที่สุดของซีรีส์ฝรั่งแนวย้อนยุคที่ไม่อยากให้พลาด สำหรับ Game of Thrones มหาศึกชิงบัลลังก์ กับเรื่องราวการชิงบัลลังก์เหล็กแห่งเจ็ดอาณาจักร ระหว่าง 3 ตระกูลหลัก ที่ประกอบไปด้วย ตระกูลสตาร์ค, ตระกูลแลนนิสเตอร์ และตระกูลทาร์แกเรียน พร้อมกับการรุกรานของกองทัพซอมบี้ไวท์วอล์คเกอร์ ที่ดินแดนเหนือจะทำให้สงครามระหว่างตระกูลเปลี่ยนแปลง ซีรีส์มีทั้งหมด 8 ซีซั่น อัดแน่นไปด้วยเรื่องราวสุดเข้มข้น พร้อมฉากแอ็คชั่นแฟนตาซีสุดตื่นตา เราจะได้เห็นมังกรของคาลิซีเผาเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลอง แถมยังหักหลังคนดูกันตลอดทุกซีซั่นเลยก็ว่าได้ ... เรียกว่าดูไปกำหมัดไปเพราะขัดใจนี่แหละ !! โดยซีรีส์มีทั้งหมด 8 ซีซั่น
4. Viking ไวกิ้ง (2013-2020)
ซีรีส์แนวย้อนยุคอิงประวัติศาสตร์ของชาวไวกิ้ง โดย Viking นำเสนอเรื่องราวความกล้าหาญของฮีโร่ชาวไวกิ้ง แรกนาร์ ลอธบร็อค ผู้มีความทะเยอทะยาน ต้องออกไปทำภารกิจที่เสี่ยงอันตรายเพื่อเอาชนะใจผู้คนในเผ่าและช่วงชิงอำนาจมาจากเอิร์ลแฮรอลด์สัน ซีรีส์มีทั้งหมด 6 ซีซั่น โดยผู้ชมจะได้เห็นถึงความเก่งกาจแต่โหดร้ายของชาวไวกิ้ง ที่สามารถพิชิต อังกฤษและฝรั่งเศส ด้วยคนจำนวนน้อยกว่า บอกได้เลยว่านี่ไม่ใช่ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการช่วงชิงอำนาจที่เข้มข้นน่าติดตามไม่แพ้กัน
5. Peaky Blinders พีกี้ ไบลน์เดอร์ส (2013-ปัจจุบัน)
มาที่ซีรีส์พีเรียดจากฝั่งอังกฤษกันบ้างสำหรับ Peaky Blinders แนวอาชญากรรมดราม่าสุดเข้มข้น ที่ว่าด้วยเรื่องราวของแก๊งมาเฟียฉาวจากปี 1919 เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ซึ่งมีแก๊งอันธพาลครองเมืองอยู่นามว่า พีกี้ ไบลน์เดอร์ส ดูแลโดยตระกูลเชลบี้ นำโดย โธมัส เชลบี้ เจ้าพ่ออาชญากรสุดโหด และสมาชิกครอบครัว ได้แก่ อาเธอร์, จอห์น และพอลลี่ เกรย์ ซึ่งฉายาของแก๊งนี้ได้มาจากความโหดของสมาชิกในแก๊ง นั่นก็คือเหล่าสมาชิกในแก๊งจะซ่อนใบมีดโกนไว้ที่ขอบหมวกทรง "พีกี้" และใช้มันเพื่อปาดคอศัตรู ซึ่งพวกเขาเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่าง ๆ มากมาย จนทางสำนักงานตำรวจต้องส่งสายสืบฝีมือดีเข้าไปแทรกซึมอยู่ในแก๊ง เพื่อหาหนทางกวาดล้างให้หมดสิ้นไป ซีรีส์มีทั้งหมด 5 ซีซั่น เรียกว่าใครที่ชื่นชอบในเรื่องของการเฉือนคมกันของตัวละคร ที่มาพร้อมกับความเท่และภาพสวย ๆ เราขอแนะนำซีรีส์เรื่องนี้
6. Outlander เอาท์แลนเดอร์ (2014-ปัจจุบัน)
ซีรีส์ฝรั่งแนวย้อนยุคสร้างจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ ไดอานา กาบัลดอน กับเรื่องราวดราม่าสุดเข้มข้นระหว่างคู่รักต่างภพที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แคลร์ แรนดอลล์ พยาบาลที่กำลังจะไปฮันนีมูนรอบ 2 กับสามี แฟรงค์ ที่สกอตแลนด์ เนื่องจากติดสงครามโลกพอดีทำให้แคลร์กับแฟรงค์ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และจู่ ๆ ก็เกิดเหตุประหลาดขึ้นเมื่อ แคลร์ บังเอิญไปแตะหินลึกลับ ทำให้เธอย้อนเวลากลับไปใน ค.ศ. 1743 ช่วงเวลาที่สกอตแลนด์ทำสงครามกลางเมืองอย่างรุนแรงกับอังกฤษ และถูกจับกุมโดยทหารชาวสกอต เพราะคิดว่าเธอคือสายลับของอังกฤษ ซึ่งนั่นทำให้ได้พบกับ เจมี่ เฟรเซอร์ หนุ่มชาวสกอต ที่กลายมาเป็นรักครั้งใหม่ของเธอ ซึ่งแคลร์ต้องเลือกระหว่างความซื่อสัตย์และความปรารถนาของเธอเอง และเลือกระหว่างชายสองคนผู้ไม่อาจลงรอยกันได้ โดย Outlander มีทั้งสิ้น 5 ซีซั่น
7. The Last Kingdom (2015-ปัจจุบัน)
ซีรีส์ The Last Kingdom สร้างมาจากหนังนวนิยายเรื่อง The Saxon Stories ของ เบอร์นาร์ด คอร์นวอลล์ ว่าด้วยเรื่องราวของ อูเทร็ด ทายาทผู้สืบทอดโดยชอบธรรมแห่งเมืองเบบเบนเบิร์ก เมื่อสิ้นพระบิดา สิทธิ์อันชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์ควรส่งถึงเขา แต่เกิดเหตุการณ์กบฏทำให้เขาถูกขับไล่ เขาถูกพวกไวกิ้งเลี้ยงดูมา เมื่อเติบโตจึงคิดที่จะกลับไปทวงสิทธิ์ในแผ่นดินเกิดของตัวเอง สำหรับใครที่ชื่นชอบซีรีส์เรื่องราวสุดเข้มข้นที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ต้องไม่พลาดเลยทีเดียว จนถึงตอนนี้ซีรีส์มีมาแล้วทั้งหมด 4 ซีซั่น
8. The Crown (2016-ปัจจุบัน)
ซีรีส์ดราม่าย้อนยุคสุดเข้มข้นที่อิงประวัติศาสตร์ของราชวงศ์วินด์เซอร์ โดย The Crown จะพาย้อนไปในช่วงเจ้าหญิงอลิซาเบธแต่งงานกับเจ้าชายฟิลิป ผู้ชมจะได้เห็นเรื่องราวของการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง รวมถึงการไว้อาลัยต่อการจากไปของเซอร์วินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และการเฉลิมฉลองการครองราชย์สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ไปพร้อม ๆ กับการยุติชีวิตแต่งงานของเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต กับ ลอร์ดสโนว์ดอน และในซีซั่น 4 จะนำเสนอเรื่องราวโศกนาฏกรรมแห่งความรักของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มกุฎราชกุมารแห่งวินด์เซอร์ และไดอาน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ รวมไปถึงเรื่องความรักอันอื้อฉาวของพระองค์ กับ คามิลลา ปากเกอร์ โบลส์ (ดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์) ที่นำไปสู่ความร้าวฉานในชีวิตสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และเจ้าหญิงไดอาน่า นั่นเอง
9. The Witcher เดอะ วิทเชอร์ นักล่าจอมอสูร (2019)
หลังจากถูกหยิบไปสร้างเป็นเกมมาก่อนหน้านี้สำหรับ The Witcher ของนักเขียนนิยายชื่อดังในโปแลนด์ อันเดรจ ซาพาวสกี ก็ถูกนำมาดัดแปลงเป็นซีรีส์เรียบร้อย โดยนำเสนอเรื่องราวของ เกรอลท์ แห่งริเวีย มนุษย์กลายพันธุ์ ผู้กลายเป็นนักล่าอสูรรับจ้างออกผจญภัยในมหาทวีปที่เต็มไปด้วยปีศาจและสิ่งชั่วร้าย แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาให้เขาได้ไปพบกับแม่มด และเจ้าหญิงผู้กุมความลับอันแสนอันตราย ทั้ง 3 คนต้องเดินทางร่วมกันเพื่อพบเจอกับชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไมได้ ตัวซีรีส์นำเสนอโลกแฟนตาซีช่วงยุคกลางในดินแดนที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่ร่วมกัน อาทิ มนุษย์ คนแคระ เอลฟ์ เหล่าภูติผี มอนสเตอร์ และพวกกลายพันธุ์ รวมถึงยังมีเรื่องราวของเวทมนตร์และคำสาปเข้ามาเกี่ยวข้อง ซีรีส์มีทั้งหมด 1 ซีซั่น และได้ไฟเขียวสร้างภาคต่อตามมาเป็นที่เรียบร้อย
10. Bridgerton วังวนรัก เกมไฮโซ (2020)
ณ ตอนนี้คงไม่มีซีรีส์เรื่องไหนถูกพูดถึงได้มากเท่า Bridgerton ซีรีส์แนวย้อนยุคโรแมนติกสุดหวาน ที่ถูกอกถูกใจทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ กับความรักของดยุกกับสาวน้อยแรกรุ่น ทำให้สาว ๆ หลายคนหลงเคลิ้มไปกับความรักของทั้งคู่ ซีรีส์ Bridgerton ได้แรงบันดาลใจจากนิยายขายดีของจูเลีย ควินน์ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ดาฟนี่ บริดเจอร์ตัน ลูกสาวคนโตของตระกูล บริดเจอร์ตัน อันทรงอิทธิพล เมื่อเธอเป็นสาวเดบูตองต์ที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหาคู่อันดุเดือดของลอนดอนยุครีเจนซี่ ดาฟนี่หวังว่าจะเจริญรอยตามพ่อแม่และพบคู่ที่เกิดจากรักแท้ ชายหนุ่มที่เข้ามาในช่วงแรกดูเหมือนจะผ่านฉลุย แต่หลังจากพี่ชายคนโตเริ่มกีดกันชายที่มีแววจะเป็นคู่ของเธอได้ คอลัมน์ซุบซิบสังคมชั้นสูงที่เลดี้ วิสเซิลดาวน์ ปริศนาเป็นผู้เขียนก็เริ่มป้ายสีดาฟนี่ ชายหนุ่มคนหนึ่งคือดยุกแห่งเฮสติ้งส์ หนุ่มโสดเนื้อหอมจอมขบถที่บรรดาแม่ ๆ ของสาวเดบูตองต์ใฝ่ฝันอยากได้เป็นลูกเขยในฤดูกาลนี้ แม้ทั้งคู่จะออกปากว่าไม่ต้องการอะไรจากกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีใจให้กันหลังจากต้องชิงไหวชิงพริบกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความคาดหวังที่วงสังคมมีต่ออนาคตของทั้งคู่ ออกอากาศไปทั้งหมด 1 ซีซั่นและความแรงของซีรีส์เรื่องนี้เลยทำให้ได้ไฟเขียวสร้างต่อซีซั่น 3 เป็นที่เรียบร้อย